บทที่ 1634 ไม่แยแสโลก
หลิงหยุนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของหนิงหลิงยู่มาระดับหนึ่งแล้วและได้วางแผนในการแก้ปัญหา และวางแผนการต่อสู้ไว้แล้วเช่นกัน
อีกทั้งยังได้เตรียมกำลังคนที่จะเข้าร่วมรบในศึกครั้งนี้ไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกันเรียกได้ว่า ทุกอย่างได้จัดเตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้ว
และก่อนที่จะลงมือจัดการกับหนิงหลิงยู่แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่สนใจที่จะบอกกล่าวรายละเอียดต่างๆ ให้กับคนตระกูลหนิง และคนตระกูลฉินฟัง แต่มีหนึ่งคนที่หลิงหยุนจะไม่บอกไม่ได้
และคนผู้นั้นก็คือนางฉินจิวยื่อ!
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ก่อนที่จะเดินทางไปยังสำนักกระบี่คุนหลุนในคืนนี้ หลิงหยุนจึงต้องเดินทางมาพบฉินจิวยื่อเสียก่อน และด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้การเดินทางในระยะหลายร้อยกิโลเมตรนั้น นับเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
เวลานี้ฉินจิวยื่อกำลังยืนเหม่อมองอยู่ในศาลากลางน้ำ ที่ทั้งคู่เคยนั่งสนทนากันจนเกือบเช้า และดูเหมือนนางกำลังดื่มด่ำอยู่กับแสงไฟที่สะท้อนอยู่กลางน้ำ พร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นภายในศาลากลางน้ำอย่างเงียบๆและเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนนางฉินจิวยื่อให้ตกใจ เขาจึงได้ยกมือขึ้นเคาะที่เสาข้างศาลาเบาๆ
“เจ้ามาแล้วรึหลิงหยุน”
ฉินจิวยื่อเอ่ยถามขึ้นโดยมิต้องเหลียวหลังกลับไปมองและหลังจากเอ่ยจบ นางจึงค่อยๆหันหลังกลับมาอย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน ก่อนจะเอ่ยบอกกับเขาว่า
“น้าหญิงของเจ้าเพิ่งจะกลับไปไม่นานนี่เอง!” “ท่านแม่!”
“หยุนเอ๋อ..เจ้าไม่รีบร้อนกลับมิใช่รึ นั่งลงก่อน มีอะไรก็ค่อยๆเล่ามา..”
ฉินจิวยื่อเอ่ยบอกหลิงหยุนพร้อมกับผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้หลิงหยุนนั่งลง หลิงหยุนเอ่ยตอบผู้เป็นมารดา พร้อมกับนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ข้าไม่รีบร้อนกลับท่านแม่..”
ฉินจิวยื่อเองก็เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามหลิงหยุนนางจ้องมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลิงยู่สินะ”
หลิงหยุนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าในที่สุดก็ต้องเงยหน้าขึ้นจ้องมองมารดาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีก พร้อมตอบกลับไปว่า
“ดูเหมือนท่านแม่จะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว..”
“สำนักฉางชุนและสำนักลิ่วเสวียนเหมินล้วนอยู่ห่างจากหมู่บ้านตระกูลฉินของเราไปไม่ไกลนัก อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตระกูลหนิงด้วย การที่ข้ารู้ข่าวจึงมิใช่เรื่องแปลกอะไร..”
ฉินจิวยื่อพยักหน้าและเอ่ยบอกหลิงหยุนต่อในทันที “อีกอย่าง.. เป็นเพราะชื่อเสียงของเจ้า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตอะไรขึ้นในยุทธภพ หน่วยนภาก็จะส่งข่าวให้ตระกูลฉินรู้ด้วยเสมอ!”
หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า ท่านแม่ย่อมรู้ในสิ่งที่ข้ารู้มาเช่นกัน..”
ฉินจิวยื่อตอบกลับยิ้มๆ“ตระกูลฉินรู้เพียงแค่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสำนักต่างๆ บนเทือกเขาคุนหลุน ดังเช่นที่หน่วยนภารู้ แต่ในส่วนของเจ้า ข้ายังไม่รู้อะไรเลย..”
หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า “ด้วยเหตุนี้สินะ ท่านแม่จึงได้มารอคอยข้าอยู่ที่ศาลานี่”
“ข้าปรารถนาให้เจ้าไม่มาพบข้าเสียมากกว่า..”
ความหมายของฉินจิวยื่อก็คือหากหลิงหยุนไม่มาพบนาง นั่นย่อมหมายถึงว่า หลิงหยุนสามารถจัดการทุกอย่างได้ไม่ยาก แต่หากเรื่องนี้ใหญ่โตเกินกว่าความสามารถที่เขาจะรับมือได้แล้ว แน่นอนว่าหลิยหยุนจะต้องมาพบนาง..
“หยุนเอ๋อ!หมายความว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ใหญ่โตกว่าที่พวกเราสองคนคาดการไว้สินะ”
“ใช่แล้วท่านแม่!”
หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปตามความเป็นจริง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยต่อในทันที
“ถึงแม้เหตุการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คาดการไว้แต่ข้าก็จะช่วยหลิงยู่ให้ได้..”
หลิงหยุนสังเกตเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยอย่างมากของนางฉินจิวยื่อและเกรงว่านางจะเป็นห่วงหนิงหลิงยู่ จึงรีบย้ำให้นางมั่นใจ และสบายใจ “หยุนเอ๋อเจ้าช่างเป็นลูกที่ดีนัก! เอาล่ะ บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับหลิงยู่ให้ข้าฟังเถิด!”
ฉินจิวยื่อยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ในเวลาเช่นนี้ สิ่งที่นางต้องการรู้มากที่สุดคือความจริง!
“ครับท่านแม่!”
หลิงหยุนนิ่งไปครู่ใหญ่เขาพยายามนึกหาคำพูดที่จะมาอธิบายเรื่องนี้ให้กับผู้เป็นมารดาฟัง และในที่สุด หลิงหยุนก็เอ่ยขึ้นว่า
“เวลานี้หนิงหลิงยู่กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องจิตวิญญาณคู่ในร่าง..”
หลังจากเกริ่นนำไปได้แล้วหลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องรอให้นางฉินจิวยื่อต้องเอ่ยถาม เขาเริ่มเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้นางฟังทันที รวมถึงแผนการทั้งหมดในคืนนี้ เรียกได้ว่าเล่าอย่างละเอียด ไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว!
ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินทางมาที่นี่เขาได้พยายามครุ่นคิดว่า จะสรรหาคำพูดเช่นใดมาพูดกับผู้เป็นมารดาดี เพื่อมิให้นางต้องโศกเศร้า หรือทุกข์ระทมมากจนเกินไป แต่ในเมื่อสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องระมัดระวังคำพูดอีก และสามารถเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางฟังได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
“ภายในร่างของหลิงยู่มีจิตวิญญาณของเทพธิดาอยู่ด้วยอีกหนึ่งดวงงั้นรึ”
หลังจากที่นิ่งฟังหลิงหยุนเล่ามาเป็นเวลานานในที่สุด ฉินจิวยื่อจึงได้เริ่มเอ่ยปากถามขึ้นบ้าง
“ถูกต้อง!และจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้ ก็เข้าไปสิงสถิตอยู่ในร่างของหลิงยู่ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางยังอยู่ในท้องของท่านแม่!”
“และเป็นเพราะจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้ทำให้ครั้งนั้นฝ่ามือของตี๋เสี่ยวเจินจึงไม่อาจทำร้ายท่านแม่ถึงชีวิตได้! ในเมื่อเทพธิดาองค์นี้ได้วางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว นางย่อมมีหนทางที่จะปกป้องชีวิตของตนเอง..” ก่อนหน้านี้ที่สองแม่ลูกนั่งสนทนากันอย่างยาวนานนั้นฉินจิวยื่อเองก็เคยนึกสงสัยเรื่องนี้ ครั้งนั้นหลิงหยุนไม่มีคำตอบให้ แต่ครั้งนี้ เขามีคำตอบที่ชัดเจนให้กับผู้เป็นมารดาสิ้นสงสัย
“หากจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้เข้าไปอยู่ในร่างของหนิงหลิงยู่ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ของข้าจริง เหตุใดในวันที่คลอดนางออกมา ทั้งข้าและนางกลับได้รับอันตรายจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเล่า..!”
“การก่อกำเนิดนับเป็นเรื่องลำบากยากยิ่งและนี่คือเหตุผลที่ท่านแม่ได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส ในระหว่างที่อุ้มท้องนาง..”
และดูเหมือนนี่จะเป็นคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับจิตวิญญาณอีกดวงในร่างของหนิงหลิงยู่ที่ฉินจิวยื่อได้รับคำอธิบายจากหลิงหยุน และคำตอบของหลิงหยุนก็กระจ่างแจ่มแจ้ง จนแม้แต่ฉินจิวยื่อเองก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
“ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมาจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้ มิได้เข้ามาแทรกแซงจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่เลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้นางได้เติบโตอย่างอิสระบนโลกใบนี้..”
“แต่ในระยะเวลาที่หนิงหลิงยู่ค่อยๆเติบโตขึ้นนั้นจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้ ก็ค่อยๆเติบโตขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน จิตวิญญาณของเทพธิดามีการพัฒนา และเจริญเติบโตตามธรรมชาติ จนกระทั่งแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่สามารถมีอิทธิพลต่อบุคลิก และอุปนิสัยของหนิงหลิงยู่ได้..”
ฉินจิวยู่ทำสีหน้าครุ่นคิดพร้อมกับพึมพำออกมาว่า“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตลอดระยะเวลาหกปีนับตั้งแต่นางอายุได้สิบสองปีเป็นต้นมา การที่นางเริ่มไม่สนใจเจ้า และเริ่มทำตัวห่างเหินกับเจ้า ก็เป็นผลมาจากการที่จิตวิญญาณอีกดวงเติบโตแข็งแกร่งขึ้นสินะ”
“ท่านแม่คาดเดาได้ไม่เลวทีเดียว!”
หลิงหยุนพยักหน้าเคร่งขรึมของตนก่อนจะเอ่ยต่อว่า “จิตวิญญาณทั้งสองอยู่ในร่างเดียวกันมาตลอด และเติบโตขึ้นมาพร้อมๆกัน เพียงแต่.. ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้ ยังมิได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ เพียงแต่พลังอันแข็งแกร่งของนางที่แผ่ซ่านออกมานั้น ได้ส่งผลต่อจิตวิญญาณของหลิงยู่ในช่วงระยะเวลาหกปีนั้น..”
“เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ”
ใบหน้าของฉินจิวยื่อเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและสีหน้าของนางเวลานี้ บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมขมขื่นใจอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้
เมื่อครั้งที่บุตรสาวของนางถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ก็ได้มีจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์ใดก็มิอาจรู้ได้ เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างของบุตรสาวนางด้วย และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปนานถึงสิบแปดปี จู่ๆ จิตวิญญาณอีกดวงก็เข้ามาแทนที่จิตวิญญาณเดิมของบุตรสาวนาง สิบแปดปีที่นางเฝ้าฟูมฟักดูแลบุตรสาวมาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่เวลานี้ จิตวิญญาณอีกดวงกลับเปลี่ยนบุตรสาวของนาง ให้เป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง.. เช่นนี้แล้วผู้ที่เป็นมารดาจะไม่รู้สึกทุกข์ระทมใจได้อย่างไรกัน
ความเจ็บปวดรวดร้าวใจเช่นนี้แม้ฉินจิวยื่อจะเคยผ่านความทุกข์ระทมแสนสาหัสมาแล้วตลอดชีวิต แต่ครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่นางเองก็ยากจะทำใจให้ยอมรับได้จริงๆ และได้เอ่ยถามหลิงหยุนออกมาด้วยความสะเทือนใจ
“แต่เพราะเหตุใด..”
ฉินจิวยื่อเอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นดวงตาคู่งามนั้นปรากฏร่องรอยของความเจ็บปวด โศกเศร้า และโกรธเกรี้ยวระคนกัน
“แม้นางจะได้ร่างของหลิงยู่ไปครองแล้วแต่เหตุใด.. นางกลับจดจำข้าในฐานะมารดามิได้ เหตุใดนางจึงต้องทำร้ายตระกูลหลิงถึงเพียงนั้น? และเหตุใดนางจึงต้องเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ด้วย?”
“เจ้าบอกว่านางเป็นจิตวิญญาณเทพธิดามิใช่รึแต่แล้วเหตุใดการกระทำของนาง จึงได้โหดเหี้ยมประหนึ่งปีศาจร้ายเช่นนี้?” ท้ายที่สุดฉินจิวยื่อก็ไม่อาจทำใจให้สงบนิ่งได้อีก เวลานี้ อารมณ์สับสนภายในใจได้คุกรุ่นขึ้นอย่างมาก และในที่สุด นางถึงกับยกมือขึ้นตบโต๊ะด้วยความคับแค้นใจ!
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามของผู้เป็นมารดา..
จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่และเห็นว่าฉินจิวยื่อสามารถสงบสติอารมณ์ได้มากแล้ว หลิงหยุนจึงได้เอ่ยตอบอย่างช้าๆ
“ท่านแม่..ท่านยังจำคืนที่ท่านลุงหนิงเสียชีวิตได้หรือไม่ ก่อนที่ท่านลุงหนิงจะสิ้นใจ เขาได้เอ่ยถึงหลิงยู่ด้วยสีหน้าตกอกตกใจ แต่หลังจากที่จะบอกเล่าต่อ เขากลับสิ้นลมไปเสียก่อน..”
“ข้าย่อมจำได้ดี..”
“ครั้งนั้นท่านแม่บอกกับข้าว่า อาจเป็นเพราะท่านลุงหนิงใกล้จะสิ้นใจ จึงได้เกิดภาพหลอนขึ้นในใจ แต่เวลานี้ ข้ามั่นใจว่านั่นหาใช่ภาพหลอนไม่..” “ก่อนที่คนเราจะสิ้นลมมักจะมองเห็นความจริงบางอย่างได้ชัดเจน อีกทั้งท่านลุงหนิงยังเป็นบิดาโดยสายเลือดของหลิงยู่ ข้าเชื่อว่า.. ท่านลุงคงจะมองเห็นจิตวิญญาณอีกดวงในร่างของนาง หรือไม่ก็อาจเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตระกูลหนิงในวันข้างหน้า หลังจากที่ท่านลุงสิ้นลมไปแล้วก็ได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้มีสีหน้าตกอกตกใจจนพูดไม่ออกเช่นนั้น..”
“นี่มัน..”
ฉินจิวยื่อนึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ในคืนที่หนิงเทียนหยากำลังจะสิ้นลมและดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่หลิงหยุนคาดเดา
“แต่เรื่องนั้นหาได้สำคัญไม่..”
หลิงหยุนเอ่ยต่อในทันที“สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกท่านแม่ก็คือ.. จิตวิญญาณอีกดวงในร่างของหลิงยู่นั้น ดูเหมือนจะมิได้แยแสต่อความเป็นความตายของคนตระกูลหนิงเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไม่สนใจด้วยว่า จะต้องมีผู้คนตายภายใต้เงื้อมือของคนตระกูลหนิงมากเพียงใด มิหนำซ้ำ นางยังไม่แยแสว่า ประเทศนี้จะต้องตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายมากเพียงใดด้วย..”
หลิงหยุนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน“หากกระทั่งคนตระกูลหนิงนางยังไม่แยแส สาอะไรกับสำนักเล็กๆบนเขาคุนหลุนเล่า..”
“แต่นางเป็นจิตวิญญาณเทพธิดามิใช่รึแล้วเหตุใดการกระทำของนางจึงมิต่างจากปีศาจร้ายเล่า..?”
“เทพธิดาแล้วอย่างไร”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาครู่หนึ่งในที่สุดจึงเอ่ยบอกผู้เป็นมารดาว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าได้สับสนกับคำว่าเซียน และคนมีคุณธรรม!”
“เซียน..เป็นเพียงแค่ผลสำเร็จของการฝึกบ่มเพาะบำเพ็ญเพียร!”
“เว้นแต่จุติมาเป็นเซียนแล้วนอกเหนือจากนั้น มีเซียนองค์ใดบ้าง ที่ไม่เหยียบซากศพผู้คน และความหายนะ จึงจะสามารถก้าวไปถึงจุดนั้นได้บ้าง”
“เส้นทางสู่ความเป็นเซียนมีมากมายหลากหลายขอเพียงแค่ก้าวไปสู่จุดหมายได้ บางครั้งอาจไม่คำนึงถึงวิธีการ..”
“เวลานี้จิตวิญญาณอีกดวงในร่างของหนิงหลิงยู่ ไม่เพียงดูถูกข้า แต่ยังไม่เห็นทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ในสายตาอีกด้วย หรือจะเรียกว่าเฉยเมยต่อทุกสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ก็ไม่ผิดนัก..”
“ไม่ต่างจากมนุษย์กับฝูงมดมนุษย์ไม่เคยแยแสว่า ตนเองจะเหยียบฝูงมดตายไปมากเท่าใดในระหว่างทาง มนุษย์ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ขอเพียงแค่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ข้าเปรียบเทียบเช่นนี้ ท่านแม่พอเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วหยุนเอ๋อ!”ฉินจิวยื่อเอ่ยตอบ พร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าขันเกินไปที่จะถามว่า เหตุใดเทพธิดาจึงได้กระทำประหนึ่งปีศาจร้าย นางเห็นมนุษย์ทั้งโลกเป็นเพียงแค่มดไร้ค่าเท่านั้น หากไม่หลีกให้พ้นทาง นางก็พร้อมที่จะเหยียบย่ำโดยไม่รู้สึกอะไร..”
และครั้งนี้ฉินจิวยื่อเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งกว่าเดิมมาก..
“หยุนเอ๋อ!ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศึกในคืนนี้ย่อมอันตรายยิ่งนักสินะ” ฉินจิวยื่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ย่อมอันตรายอย่างยิ่งท่านแม่!”
หลิงหยุนเอ่ยตอบไปตามตรงและไม่คิดที่จะปิดบังผู้เป็นมารดา แต่หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยบอกนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แต่ท่านแม่มิต้องเป็นห่วงข้ามีอาวุโสสองท่านคอยช่วยเหลือ ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิตแน่!”
“แต่สิ่งที่นับว่ายากที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ก็คือข้าจะต้องทำร้ายหลิงยู่ให้ได้รับบาดเจ็บ จนเข้าสู่ขั้นหมดสติ แต่ก็ต้องไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของนาง อีกทั้งยังต้องมิให้นางหนีไปได้อีกด้วย..”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงหนี้หลิงหยุนก็ได้แต่ทำสีหน้าปวดหัว และหนักใจไม่น้อย ฉินจิวยื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และก้าวเดินไปหาหลิงหยุนอย่างช้าๆ
นางยกมือขึ้นจับไหล่หลิงหยุนไว้พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “หยุนเอ๋อ! ข้าเข้าใจแล้ว ที่เจ้ามาพบข้าในคืนนี้ ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้สินะ”
“หากต้องทำสิ่งใดจงตัดสินใจทำลงไปได้เลยข้าเชื่อว่า เจ้าจะสามารถนำน้องสาวคนเดิมของเจ้ากลับมาได้แน่..”
“แต่มันมิใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าเลยท่านแม่..”
ฉินจิวยื่อฟังแล้วก็ได้แต่กัดฟันแน่และในที่สุดนางจึงได้เอ่ยกับหลิงหยุนว่า “เจ้าตัดสินใจได้เลยหยุนเอ๋อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ตำหนิเจ้าเลยแม้แต่น้อย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร