บทที่ 1636 ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่
ก่อนจะแยกจากไปนั้นหลิงหยุนได้เตือนฉินจิวยื่อว่า ครั้งนี้นับเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของยุทธภพ ผู้ใดก็ตามที่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่ายากนักที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ เขาจะมิยอมให้สมาชิกตระกูลหลิง และตระกูลฉินเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยโดยเด็ดขาด
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้โน้มศรีษะทำการคาราวะฉินจิวยื่อผู้เป็นมารดา พร้อมกับกล่าวคำร่ำลา และหลังจากที่หลิงหยุนถอนค่ายกลสะกัดกั้นจิตหยั่งรู้ออกแล้ว เขาก็เหาะจากไปในทันที
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนอกจากตัวเขาเองกับฉินจิวยื่อแล้ว ก็มิมีผู้ใดคู่ควรที่จะรู้เรื่องนี้อีก แม้กระทั่งสมาชิกตระกูลฉินคนอื่นๆก็เช่นกัน เพราะรังแต่จะนำมาซึ่งหายนะให้กับพวกเขาโดยมิรู้ตัว
ส่วนหลังจากที่เขาจากไปแล้วนั้นฉินจิวยื่อจะตัดสินใจบอกผู้ใดในตระกูลฉินบ้างนั้น หลิงหยุนปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของนางเอง
และก่อนที่หลิงหยุนจะจากหมู่บ้านตระกูลฉินไปนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจดูโม่วู๋เตา และพบว่า ชายหนุ่มยังคงนอนหลับไหลเช่นเคย แต่ร่างกายกลับอ้วนท้วนกว่าครึ่งเดือนก่อนมาก ทำให้หลิงหยุนรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง
โม่วู๋เตานอนหลับไหลไปราวยี่สิบแปดวันหลิงหยุนได้แต่พึมพำออกมาว่า “น้องชาย เจ้ายังอยากจะนอนหลับไหลเช่นนี้ก็นอนไป แต่อีก 21 วัน เจ้าควรจะต้องตื่นขึ้นมาได้แล้ว!”
หลิงหยุนคำนวนวันเวลาอยู่ในใจเงียบๆและเหลืออีกเพียงแค่ 21 วัน ก็จะครบกำหนด 49 วันแล้ว..
พรึบ..
ในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวหลิงหยุนก็ไปปรากฏตัวห่างจากประตูทางเข้าสุสานฉินซีหวงราวเก้าร้อยเมตร แต่ปรากฏว่า ครั้งนี้จิตหยั่งรู้ของเขากลับไม่ถูกสะกัดกั้น และสามารถใช้วิชาล่องหนได้ ทำให้เขาดีอกดีใจอย่างที่สุด!
เมื่อหลายสิบวันก่อนหน้านี้หลิงหยุนใช้เวลาฝึกฝนอยู่หน้าประตูทางเข้าสุสานอยู่นานถึงสามวัน และได้ดูดซับเอาพลังมังกร และพลังหยินเข้าไปในร่าง ทำให้เขาสามารถพัฒนาขั้นพลังเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้ในคราเดียว
แต่ถึงแม้เขาจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ได้แล้วแต่จิตหยั่งรู้ของเขาก็ถูกสะกัดกั้นไว้อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถใช้วิชาล่องหนหายตัวได้
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนคาดเดาเอาว่า ค่ายกลที่ใช้สะกัดกั้นจิตหยั่งรู้ภายในสุสานแห่งนี้ คงจะมีขีดความสามารถในการสะกัดกั้นได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เวลานี้ หลิงหยุนได้เข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) แล้ว จิตหยั่งรู้ของเขาจึงมีพลังเหนือกว่าอำนาจสะกัดกั้นของค่ายกล ซึ่งต่างจากเมื่อครั้งที่อยู่ในขั้นลิ่วเฉิงชี่ราวฟ้ากับดิน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงได้ขยับเข้าไปใกล้อีก และเวลานี้เขาก็อยู่ห่างจากหน้าประตูราวสี่ร้อยเมตรได้ แต่เมื่อมาอยู่ในจุดนี้ เขากลับพบว่า จิตหยั่งรู้ของตนเองได้ถูกสะกัดกั้นไว้อีกครั้ง แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาเมื่อพบว่าตนเองยังสามารถใช้วิชาหายตัวได้ เขาขยับเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นอีก และเวลานี้ หลิงหยุนก็อยู่ห่างจากประตูทางเข้าเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
ปัง!
แต่ครานี้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนที่แผ่ออกไปนั้น ราวกับสายน้ำที่ไหลปะทะเข้ากับกำแพงโลหะ และสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรง!
และหากไม่ถูกสะกัดกั้นไว้ด้วยค่ายกลจิตหยั่งรู้ของเขาจะสามารถขยายกว้างออกไปมากกว่าห้าร้อยเมตรเป็นแน่
แต่ตอนนี้จิตหยั่งรู้ของเขากลับถูกสะกัดกั้นให้เหลือรัศมีการรับรู้เพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น!
นั่นเพราะเวลานี้ตัวเขาเองก็อยู่ห่างจากหน้าประตูทางเข้าสุสานเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเช่นกัน!
เหตุการณ์นี้ทำให้หลิงหยุนมั่นใจว่าแม้จิตหยั่งรู้ของเขาจะยังถูกพลังค่ายกลสะกัดกั้นไว้ได้ แต่ยังมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปภายในสุสานได้
หลิงหยุนกัดฟันแน่นและก้าวเท้าเข้าไปใกล้ประตูสุสานมากขึ้นอีกห้าสิบเมตร แล้วการเปลี่ยนแปลงฉับพลันก็เกิดขึ้นในทันที
จู่ๆกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่สูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลิงหยุนไม่ได้เห็นด้านข้างของมัน จึงไม่รู้ว่าประตูนี้มีความหนามาเพียงใด รู้เพียงแค่ว่ามันมีความสูงตระหง่านยิ่งนัก!
หลิงหยุนสำรวจดูกำแพงตรงหน้าอย่างละเอียดเขารู้สึกว่า มันดูคล้ายคลึงกับกำแพงเมืองจีนมากนัก ต่างกันเพียงแค่ความสูง และความใหญ่โตเท่านั้น แต่ความงดงาม และสง่างามนั้นไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ตรงหน้าหลิงหยุนเวลานี้ตรงกลางของกำแพงเมืองขนาดใหญ่ ปรากฏประตูสีเงินขนาดใหญ่สองบานปิดอยู่ และไม่ว่าจะเป็นบนกำแพงเมือง หรือประตูเมือง ก็ล้วนแล้วแต่มีอักษรโบราณสีเทา และสีดำที่ดูลึกลับซับซ้อนปรากฏอยู่
ทั้งสองด้านของประตูทั้งซ้ายและขวาปรากฏรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่สูงราวสิบฟุตตั้งตระหง่านอยู่ รูปปั้นทั้งคู่เป็นทหารสวมชุดเกราะสีทอง คนหนึ่งถือมีดสั้นทองคำไว้ในมือ ส่วนอีกคนถือกระบี่สองทองระยิบระยับตา ทหารทั้งสองกำลังยืนเหม่อมองออกไปไกลๆ ราวกับจะบอกว่า ทั้งคู่ได้ยืนอยู่ตรงนี้มานานมากแล้ว
“……”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งพูดไม่ออกเขาเข้าใจได้ดีว่า ทั้งกำแพงเมืองขนาดใหญ่ และทหารยามสวมเสื้อเกราะทองคำทั้งคู่ที่ยืนอยู่นั้น ก็คือค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องสุสานแห่งนี้นั่นเอง
หลิงหยุนตื่นตะลึงกับค่ายกลที่ปรากฏขึ้นยิ่งนักแม้แต่เขาซึ่งมาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ และเป็นถึงปรมาจารย์ด้านค่ายกล ก็ยังไม่มั่นใจว่า ตนเองจะสามารถสร้างค่ายกลลักษณะนี้ขึ้นมาได้สำเร็จหรือไม่
แต่มนุษย์บนโลกใบนี้กลับสามารถทำได้ หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมความเก่งกาจสามารถขององค์จักรพรรดิฉินซีอยู่ในใจ!
เวลานี้หลิงหยุนไม่สามารถก้าวเข้าไปใกล้สุสานฉินซีหวงได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะมีกำแพงเมือง และประตูบานใหญ่ขวางหน้าอยู่
หลังจากหายจากอาการตกตะลึงหลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่า ทันทีที่ค่ายกลปรากฏขึ้น ทั้งปราณมังกร พลังจักรพรรดิ และพลังหยินที่พวยพุ่งออกมา ก็ได้อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน
แต่เมื่อหลิงหยุนลองถอยหลังห่างออกมาเขากลับพบว่า ทั้งกำแพงเมือง และทหารองครักษ์ต่างก็อันตรธานหายไปในทันที และพลังปราณชนิดต่างๆ ก็ได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเขาดังเดิมอีกครั้ง
ในยามเย็นเช่นนี้หลิงหยุนพบว่า ยังคงมีนักท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ดูแลสุสาน เดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้าประตูสุสานอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนค่ายกลป้องกันสุสานแห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นคนละห้วงมิติกับโลกใบนี้ คนธรรมดาทั่วไปที่มิได้มีจิตหยั่งรู้ หรือมีพลังบ่มเพาะ จึงไม่สามารถกระตุ้นให้ค่ายกลทำงานได้ พวกเขาจึงสามารถเดินผ่านประตูได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้น..”
หลิงหยุนประเมินการทำงานของค่ายกลอยู่ในใจเงียบๆ
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่งยามเย็นพอดีและเป็นเพราะเขาใช้เวลาสนทนากับฉินจิวยื่อนานไปมาก จึงใกล้ถึงเวลาที่เขานัดกับหลี่เพียวหยางไว้แล้ว “ดูจากสถานการณ์แล้วคืนนี้ข้าคงจะไม่สามารถเข้าไปในสุสานได้สินะ”
หลิงหยุนได้แต่บ่มพึมพำด้วยความเสียดายตามแผนเดิมนั้น เขาตั้งใจไว้ว่า จะเข้าไปฝึกวรยุทธบ่มเพาะภายในสุสาน ซึ่งเขาเชื่อว่า จะช่วยให้ตนเองสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว!
แต่หลิงหยุนไม่ต้องการกลับไปมือเปล่าเช่นนี้จึงได้แต่สื่อสารกับพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพภายในร่าง
“ท่านเฉิงฟิง..ท่านโฉวเปิ่น.. เวลานี้ข้ามาอยู่หน้าสถานที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งแล้ว!”
แต่กลับไม่มีคำตอบจากอาวุโสทั้งสองราวกับว่าทั้งคู่มิได้อยู่ในร่างของหลิงหยุนเวลานี้ หลิงหยุนได้แต่ร้องออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ
“อะไรกัน!ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้กลับไม่อยู่ทั้งคู่!” ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลิงหยุนจึงได้แต่ตัดสินใจลองดูใหม่อีกครั้ง เขาจึงรีบหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา ส่งข้อความบอกหลี่เพียวหยางว่า อาจจะกลับไปล่าช้าเล็กน้อย
และเมื่อหลิงหยุนเข้าไปใกล้ทั้งกำแพงเมือง ประตูเมือง และทหารยามสีทองสุกสว่างก็ปรากฏขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
หลิงหยุนตัดสินใจเดินเข้าไปหาทหารยามที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่า และเอ่ยบอกไปว่า
“พี่ทหาร..ท่านได้โปรดอนุญาตให้ข้าเข้าไปด้านในจะได้หรือไม่”
แต่นายทหารกลับยืนนิ่งไม่ตอบโต้หลิงหยุนจึงทำเช่นเดียวกับนายทหารที่อยู่ข้างขวา แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆเช่นกัน หลิงหยุนจึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“หากเป็นเช่นนี้ข้าก็จะเปิดประตูเข้าไปด้านในแล้ว..”
หลิงหยุนเอ่ยบอกพร้อมกับยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นผลักประตูสีเงิน และทันทีที่ฝ่ามือของหลิงหยุนสัมผัสเข้ากับประตู ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง..
แต่มิใช่กับสิ่งภายนอกเป็นจุดตันเถียนภายในร่างของหลิงหยุน ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง!
บูม!
จุดตันเถียนของหลิงหยุนหมุนอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและเวลานี้มังกรทองห้าเล็บที่อยู่ภายใน ก็กำลังทอประกายระยิบระยับอย่างต่อเนื่อง..
และในเวลานั้นเองแสงสีทองสุกสว่างก็พวยพุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของหลิงหยุน นอกจากแสงสีทองสุกสว่างนั้นจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขาแล้ว ยังไหลผ่านฝ่ามือของเขาไปที่ประตูสีเงินนั้นด้วย!
จากนั้นประตูสีเงินบานใหญ่ก็ได้เปิดออก เป็นช่องว่างเพียงพอให้หลิงหยุนสามารถแทรกตัวเข้าไปได้เท่านั้น “เอ่อ..”
หลิงหยุนได้แต่งุนงงเล็กน้อยและคิดอยู่ในใจว่า บทจะเปิด ก็เปิดออกได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวรึ
แต่หลิงหยุนไม่เสียเวลาครุ่นคิดไปกับเรื่องเหล่านี้เขาโผล่ศรีษะเข้าไปด้านใน และพบว่าด้านในนั้นมืดสนิท
“ข้าเข้าไปด้านในได้หรือไม่”
แม้หลิงหยุนจะร้องตะโกนออกไปแต่กลับมิมีเสียงสะท้อน คล้ายกับเขาร้องตะโกนอยู่ใต้ผืนท้องทะเล
แม้โลกที่ไม่รู้จักจะเป็นโลกที่น่าสะพรึงกลัวแต่หลิงหยุนกลับมิได้หวั่นเกรง เขายังคงก้าวเท้าเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล คงจะมีแต่ผู้ที่โง่เขลาเท่านั้นล่ะ ที่จะไม่ก้าวเดินเข้าไปทั้งที่ประตูเปิดอ้าอยู่..
และทันทีที่หลิงหยุนก้าวเข้าไปด้านในเขาก็สัมผัสได้ว่า ทั้งพลังจักรพรรดิ ปราณมังกร และพลังหยินนั้น ล้วนหนานแน่นกว่าด้านนอกนับสิบเท่า..
จึงแทบไม่ต้องพูดถึงภายในสุสานคงจะมากมายมากกว่านี้นับร้อยนับพันเท่าเลยทีเดียว!
พลังชีวิตเหล่านั้นไม่เพียงหนาแน่นแต่ยังแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ยิ่งนัก ยากที่หลิงหยุนจะปฏิเสธได้..
ปัง!
และเมื่อหลิงหยุนก้าวเข้าไปด้านในเสียงประตูสีเงินบานใหญ่ก็ปิดลง แต่หลิงหยุนก็มิได้ใส่ใจนัก เพราะหากประตูค่ายกลไม่ปิดลงต่างหากเล่า จึงจะนับเป็นเรื่องน่าประหลาด
แต่สิ่งที่น่าแปลกสำหรับหลิงหยุนเวลานี้ก็คือก่อนที่ประตูค่ายกลจะปิดลงนั้น ภายในกลับมืดสนิท แม้แต่ดวงตาเทวะเทียนเอี๋ยนทง และเนตรหยิน–หยาง ยังไม่สามารถทำให้หลิงหยุนมองเห็นอะไรได้ แต่ทันทีที่ประตูค่ายกลปิดลง เขากลับมองเห็นทุกอย่างได้เป็นปกติ
แต่ภายในเมืองที่อยู่หลังประตูนี้ดูเหมือนจะไม่มีกลางวันกลางคืน สิ่งที่เห็นไปทั่วทุกหนทุกแห่งนั้น มีเพียงหมอกควันสีเทากระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ใต้ฝ่าเท้าของหลิงหยุนเวลานี้คือถนนสีครามกว้างหลายสิบเมตร และดูเหมือนจะทอดไปยังพระราชวังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป หลิงหยุนหันกลับไปมองด้านหลัง และพบว่า ประตูเมืองสีเงินยังคงอยู่ที่เดิมมิได้มีอะไรเปลี่ยนไป
หลิงหยุนรู้สึกว่าภายในเมืองแห่งนี้ จิตหยั่งรู้ของเขายังสามารถใช้ได้ แต่มีรัศมีครอบคลุมเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
แต่นั่นก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเขา..
เนื่องจากหลิงหยุนมีเวลาค่อนข้างจำกัดเขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการสำรวจเมืองลี้ลับแห่งนี้ และทำตามจุดประสงค์เดิมที่ตั้งใจเข้ามาด้านในทันที
หลังจากเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูรอบกายแล้วพบว่าไม่มีอันตรายอะไร หลิงหยุนจึงได้นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นห่างจากประตูเมืองราวห้าสิบเมตร และรีบเดินวิชาพลังลับหยิน–หยางทันที
ไม่เพียงเท่านั้นหลิงหยุนยังได้ปลดปล่อยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยาง ออกมาบ่มเพาะกายาไว้ และรัศมีของไฟก็กระจายออกไปรอบตัวกว่าสามสิบเมตรได้
กระแสวนหยิน–หยางที่มีรัศมีใกล้เคียงกันได้พวยพุ่งออกมาจากร่างของหลิงหยุน และเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตเข้ามาทันที!
ไม่ว่าจะเป็นปราณมังกรพลังจักรพรรดิ หรือพลังหยิน ต่างก็ถูกดูดเข้ามาภายในกระแสวนหยิน–หยาง ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นพลังหยิน และหยางที่บริสุทธิ์เข้าไปในร่างของหลิงหยุน
กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ทำให้ขั้นพลังบ่มเพาะของหลิงหยุนพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้ จุดตันเถียนของหลิงหยุนอัดแน่นไปด้วยพลังหยินและหยาง จนเวลานี้ได้กลั่นเป็นหยดของหลว และภายในจุดตันเถียนของเขาก็ไม่ต่างจากท้องทะเล
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวและยังคงฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมั่นใจว่า รากฐานพลังเสถียรมั่นคงแล้ว และอีกเพียงแค่เล็กน้อย ก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้แล้ว
แต่แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งเวลา และสถานที่ต่างก็ไม่เอื้ออำนวย และเหมาะสมให้หลิงหยุนทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน เขาจึงได้หยุดการดูดซับพลังไว้เพียงเท่านี้ และเปลี่ยนมาเป็นการบ่มเพาะกายาด้วยเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางต่อ
ในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้เรียกกระบี่เหินเงาธนู กระบี่กังฉี หอกมังกรทอง และตราหยกจักรพรรดิออกมา และใช้เปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางหลอมกลั่นอีกครั้งเช่นกัน
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ฝึกวิชามังกรทองคะนองด้วย เนื่องจากภายในสถานที่แห่งนี้ มีปราณมังกรอยู่อย่างหนาแน่น เขาจึงไม่ต้องการปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
หลิงหยุนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาหันหน้าไปทางพระราชวังที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณยิ่งนัก!”
“ได้โปรดเปิดประตูให้ข้าออกไปด้วยเถิด!”
และเมื่อประตูเปิดอ้าออกหลิงหยุนจึงได้เอ่ยคำอำลา “ลาก่อน! หลังจากเสร็จสิ้นภาริจครั้งนี้ ข้าจะกลับมาใหม่อีกครั้ง!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ประสานฝ่ามือไว้ด้านหน้า พร้อมกับโน้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเหาะทะยานออกไปในทันที และหลังจากที่ร่างของหลิงหยุนเหาะผ่านพ้นไป ประตูสีเงินก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร