บทที่ 1637 สำนักกระบี่คุนหลุน
ฟิ้ว..
ทันทีที่ร่างของหลิงหยุนพุ่งทะยานออกมาจากช่องว่างระหว่างประตูกำแพงเมือง ประตูเมือง และทหารยามสีทองทั้งสอง ก็ได้อันตรธานหายไปในพริบตาเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานต่อมาร่างของหลิงหยุนก็ได้ไปปรากฏอีกครั้งกลางท้องนภา ห่างจากสุสานฉินซีหวงไปราวสิบกิโลเมตร ใบหน้าของหลิงหยุนเวลานี้เปี่ยมไปด้วยความสุข ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านความเสี่ยงที่สูงยิ่งมาเลยแม้แต่น้อย
สำหรับหลิงหยุนนั่นคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!
ในขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปภายในประตูเงินนั้นต้องยอมรับว่า หลิงหยุนจำเป็นต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมากมาย เพราะเป็นไปได้ว่า อาจเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับเขาได้อย่างมากมาย อย่างเช่นหากเขาเข้าไปด้านในแล้ว จู่ๆกำแพง และประตูเมืองเกิดอันตรธานหายไปในทันทีเล่า เขาจะออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร แล้วหากภายในนั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายใหญ่ยักษ์เล่า เขาจะทำเช่นใด?
ต่อให้ได้พบเจอกับปฐมกษัตริย์ในตำนานอย่างฉินซีแล้วอย่างไร เขาต้องเดินไปขอจับมืออย่างนั้นหรือ?
แต่ก็นับว่าโชคดีที่เรื่องต่างๆเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นกับหลิงหยุนจริงๆ!
มิหนำซ้ำหลิงหยุนยังเข้าไปข้างในได้อย่างราบรื่น ปราศจากอันตรายใดๆ อีกทั้งยังสามารถฝึกฝนจนสามารถพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็ว หลิงหยุนรู้สึกราวกับตนเองฝันไป..
แต่เวลานี้เขาได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่แล้ว เรียกได้ว่า อีกเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้แล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากการฝึกครั้งนี้ วิชาห้าธาตุสังหาร และวิชามังกรทองคะนองของหลิงหยุน ก็ได้ก้าวหน้าขึ้นจากเดิมอย่างมากเช่นกัน เรียกได้ว่า การเข้าไปฝึกภายในค่ายกลปกป้องสุสานครั้งนี้ ทำให้หลิงหยุนได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล
ส่วนเรื่องที่ว่าภายในค่ายกลเมืองขนาดใหญ่นั้นจะเป็นเช่นใด หรือจะมีผู้คนอยู่ภายในพระราชวังที่เขาเห็นหรือไม่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องการนำมาครุ่นคิดในตอนนี้..
หลังจากใคร่ครวญเรื่องนี้กระจ่างแจ้งแล้วหลิงหยุนก็ได้วางเรื่องเหล่านี้ไว้ก่อน และหันมาจดจ่ออยู่กับเรื่องสำคัญที่จะต้องทำในเวลานี้แทน!
“นี่ยังไม่สามทุ่มตรง..”
หลิงหยุนมองนาฬิกาจึงได้รู้ว่าตนเองใช้เวลาอยู่ด้านหลังประตูเงินนั้นร่วมสองชั่วโมงเลยทีเดียว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลิงหยุนก็เหาะลงไปยังตีนเขา เพื่อฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์ต่อ..
วิชานี้นับเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดของหลิงหยุนในเมื่อพลังบ่มเพาะของเขาก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ได้แล้ว เขาจึงต้องการที่จะฝึกฝนวิชานี้ให้ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
หลังจากที่มาถึงตีนเขาแล้วหลิงหยุนก็เริ่มวางค่ายกลหลุมพลังไว้โดยรอบ จากนั้นจึงได้เรียกโอสถชีฉียู่ โอสถหลงหู่ โอสถพลังหยาง และอีกมากมายออกมาจากแหวนจักรวาล รวมทั้งน้ำลายมังกรด้วย
หลิงหยุนจัดการวางโอสถทั้งหมดไว้รายรอบตัวแล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิ..
เขาเริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปในร่างอึกใหญ่หลังจากนั้นก็ได้เดินวิชาพลังลับหยิน–หยาง และเวลานี้ ภายในร่างกายของหลิงหยุน ก็ได้แปลงพลังหยินให้เป็นพลังหยาง ผ่านไปราวสิบห้านาที เส้นลมปราณหยางทั้งเก้าก็เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า!
ตามมาด้วยจุดตันเถียนที่กลายเป็นแสงสีขาวสุกสว่างประหนึ่งดวงตะวันลูกเล็ก!
บูม! หลิงหยุนสามารถสำเร็จวิชาหยางพิสุทธิ์ขั้นสองได้ในทันทีเหนือศรีษะของเขาเวลานี้ คล้ายกับมีดวงตะวันจางๆปรากฏอยู่
แต่นั่นยังไม่ทำให้หลิงหยุนพอใจเขาใช้พลังจิตเปิดขวดโอสถทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้า และภายใต้อุณหภูมิที่สูงอย่างน่าตกใจนี้ ทำให้โอสถภายในขวดกลายเป็นไอ พร้อมกับเปลี่ยนเป็นพลังหยางในทันที!
และด้วยอานุภาพของโอสถเหล่านั้นทำให้หลิงหยุนสำเร็จในระดับย่อยต่อๆไปได้อีก..
ระดับหนึ่ง..ระดับสอง.. ระดับสาม..
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วและเมื่อโอสถภายในขวดตรงหน้าหลิงหยุนถูกดูดซับเข้าไปในร่างจนหมด หลิงหยุนก็สามารถเข้าสู่ระดับย่อยห้าได้ในทันที..
หลิงหยุนเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆหลังจากพินิจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดใจ หยุดการฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์ไว้เพียงเท่านี้! แม้ว่าหลิงหยุนจะยังมีโอสถเหลืออยู่แต่การจะพัฒนาขึ้นไปอีกสองระดับย่อย ก็ต้องใช้โอสถจำนวนมากมายทีเดียว ซึ่งหลิงหยุนมองว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่านัก..
แม้ว่าเวลานี้หลิงหยุนจะมีทั้งโอสถมังกรทอง และโอสถหยินพิสุทธิ์อยู่กับตัว แต่เนื่องจากโอสถทั้งสองชนิดนี้ มีอานุภาพที่รุนแรงยิ่ง หากเขากลืนเข้าไป และเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานในเวลานี้ ภารกิจของเขาคงต้องล้มเหลวเป็นแน่..
อีกทั้งเวลานี้เขาเองก็ฝึกวิชาหยางพิสุทธิ์สำเร็จถึงระดับห้าของขั้นที่สองแล้ว และเขามั่นใจว่า เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขามีพลังจู่โจมที่แข็งแกร่งอย่างมากพอแล้ว!
หลิงหยุนเรียกขวดโอสถที่ว่างเปล่าเข้าไปเก็บไว้ในแหวนดังเดิมในขณะเดียวกันก็ถอนค่ายกลหลุมพลังออกด้วย
และเวลานี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าพอดี..
“เวลานี้..หลิงยู่น่าจะเริ่มลงมือแล้วสินะ หวังว่าสำนักกระบี่คุนหลุนจะสามารถต้านทานไว้ได้..”
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจหลิงหยุนก็เดินทางไปถึงสำนักลิ่วเสวียนหยวน..
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“เจ้านายที่เคารพ!”
ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัวทั้งหลี่เพียวหยาง หวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้า ก็รีบเข้ามาทักทายเขากันอย่างพร้อมหน้า
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทั่วสำนักลิ่วเสวียนหยวนแล้วจึงเอ่ยถามหลี่เพียวหยาง “ศิษย์สำนักลิ่วเสวียนหยวนที่รอดชีวิตเล่า”
“เรียนท่านเจ้าสำนักพวกเขาถูกนำตัวไปที่สำนักกระบี่หลิงหยุน ตามคำสั่งของท่านเจ้าสำนักแล้ว!” หลี่เพียวหยางตอบกลับทันที
หลิงหยุนพยักหน้าก่อนจะหันไปทางหวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้า พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“พวกเจ้าทั้งหกคนพร้อมเผชิญศึกใหญ่แล้วใช่หรือไม่”
“พวกเราพร้อมแล้วเจ้านายที่เคารพ..”ทั้งหกคนเอ่ยตอบหลิงหยุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกับเอ่ยบอกทุกคนว่า “ศึกครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆมากมาย นั่นเพราะเวลานี้ หนิงหลิงยู่แข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารพวกเจ้าทุกคนได้อย่างง่ายดาย! ฉะนั้นแล้ว พวกเจ้าทั้งหมด จะต้องอยู่ให้ห่างจากนางไว้ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
คราวนี้ทั้งเจ็ดคนต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน..
เวลานี้ทั้งหวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้าต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งหกอยู่กับหลิงหยุนมานาน ผ่านศึกมาด้วยกันก็หลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่หลิงหยุนจะเอ่ยเตือนให้ทุกคนระมัดระวังตัวเช่นนี้มาก่อนเลย
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่พวกเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลใจไปนักเพราะจุดประสงค์ของพวกนาง หาใช่เล่นงานพวกเจ้าไม่ แต่เป็นสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุนต่างหาก ฉะนั้นแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องรีบร้อนนัก ปล่อยให้ศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทำงานไปล่วงหน้าก่อน..”
หลี่เพียวหยางพยักหน้ายิ้มๆอย่างเข้าใจ“ท่านเจ้าสำนักกล่าวได้มีเหตุมีผลยิ่งนัก!”
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ในที่สุดหลิงหยุนก็เรียกเครื่องมือสื่อสารออกมา พร้อมกับค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของสำนักกระบี่คุนหลุน ก่อนจะร้องตะโกนสั่งทุกว่า
“ไปกันได้แล้ว..”
……
ณหุบเขามรณะ บนเทือกเขาคุนหลุน..
เป็นหุบเขาขนาดใหญ่ที่เขียวขจีและสงบเงียบอย่างมาก ภายในหุบเขาลึกแห่งนี้ มีทั้งซากหมาป่า โครงกระดูกหมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง หากผู้ใดได้มาพบเห็น คงต้องรู้สึกสิ้นหวังหมดกำลังใจอย่างมากเป็นแน่
จากการวิจัยและตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์บริเวณหุบเขาแห่งนี้มีสนามแม่เหล็กโลกที่ค่อนข้างผิดปกติ จึงทำให้เกิดพายุและฝนฟ้าคะนองที่แปรปรวน สภาพภูมิอากาศพลิกผันอย่างรวดเร็ว บางคราอาจมีทั้งฝนฟ้าคะนองร่วมกับพายุหิมะ ทำให้ผู้คนที่ทำการปศุสัตว์ในบริเวณใกล้เคียง มิกล้าย่างกรายเข้าไปในบริเวณหุบเขามรณะแห่งนี้
ห่างจากหุบเขาแห่งนี้ไปราวเก้ากิโลเมตรท่ามกลางแมกไม้เขียวชะอุ่มที่ปกคลุมหนาแน่นนั้น มีคฤหาสน์หลังใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
และที่นี่ก็คือสำนักกระบี่คุนหลุน!
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ของสำนักกระบี่คุนหลุนมีกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และชาวยุทธมากมายจากสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุน ที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ ทุกคนต่างก็กำลังนั่งประชุมอยู่ในห้องโถงแห่งนี้พร้อมหน้ากัน
“เด็กสาวที่ชื่อหนิงหลิงยู่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!พวกเรามิสามารถต้านทานนางได้ และสามารถหนีเอาชีวิตรอดมาได้เพียงแค่สามคนเท่านั้น!”
“สำนักเบญจธาตุของพวกข้าก็เช่นกันกระทั่งค่ายกลแข็งแกร่งที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี ซึ่งสามารถต้านทานได้แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐาน แต่กลับไม่สามารถต้านทานฝ่ามือของนางมารร้ายผู้นี้ได้ หลังจากที่พวกมันบุกเข้ามา ศิษย์สำนักเราต่างก็ถูกพวกนางสังหารตายไม่ต่างจากตุ๊กตา..”
“เฮ้อ..สำนักข้าเองก็เช่นกัน กระทั่งค่ายกลกระบี่ของสำนักข้า ก็ยังไม่สามารถทำให้นางมารร้ายนั่นได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วยังหวังว่าศิษย์ทั้งหมดจะรอดชีวิตได้อย่างไรกัน..”
“แต่สิ่งที่น่าคับแค้นใจที่สุดก็คือนางมารนั่นอาศัยความแข็งแกร่งของตนเอง บีบคั้นให้ศิษย์ภายในสำนักต้องฝึกวิชามารของนาง หากผู้ใดมิยินยอม นางก็จะลงมือสังหารทันที!” “แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือหน่วยนภาเองน่าจะได้รับข่าวคราวเรื่องนี้แล้ว แต่เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่ส่งคนมาช่วยอีก หรือเป็นเพราะหัวหน้าหน่วยนภาเห็นว่าหนิงหลิงยู่เป็นน้องสาวของหลิงหยุน จึงมิได้สนใจใยดีกับชีวิตของศิษย์สำนักต่างๆในเขาคุนหลุน”
“หึ!พวกท่านทำราวกับว่าหญิงสาวผู้นั้นลึกลับ หรือเก่งเต็มประดา! นางเองก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่มิใช่รึ รับรองได้ว่า คืนนี้นางไม่กล้าบุกมาที่สำนักกระบี่คุนหลุนแน่ แต่หากนางกล้ามา..
ห้องประชุมทั้งห้องเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดในทันทีทุกคนต่างก็หันไปมองผู้พูด และเมื่อพบว่าตัวเขาเองอยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ต่างคนต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“สหายทุกท่านอย่าได้กังวลใจไปเลยเพียงแค่ผู้พิทักษ์กฏทั้งสามของสำนักกระบี่คุนหลุน ก็เพียงพอที่จะเด็ดหัวนางมารร้ายได้แล้วล่ะ!” หลี่เจี้ยนกังเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางเอ่ยบอกกับทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากนั่งมองหลายๆฝ่ายที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และเอาแต่กังวลใจถึงความแข็งแกร่งของนางมารร้าย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อย
“ครั้งก่อนก็พี่ชายคราวนี้ก็น้องสาว..”
“เฮ้อ..ดูเหมือนนี่จะเป็นปีแห่งความโชคร้ายของสำนักกระบี่คุนหลุนจริงๆ!”
��
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร