บทที่ 1640 : เปิดค่ายกลสังหาร
หนิงหลิงยู่ใช้กำปั้นกระหน่ำชกเข้าไปที่ปราการสีทองนั้นอย่างต่อเนื่องในหนึ่งลมหายใจ นางชกเข้าไปนับร้อยหมัด แต่ถึงกระนั้น ก็ทำให้ปราการสีทองเพียงแค่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้เท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้ปราการแตกสลายได้
ดูเหมือนหนิงหลิงยู่เองก็จะรู้ว่าตนเองคงจะไม่สามารถทำลายปราการในชั้นนี้ได้ง่ายๆเป็นแน่ นางจึงได้หยุดทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลี่เจี้ยนกัง
“อย่าได้กล่าวอะไรที่เพ้อเจ้อไร้สาระออกมาล่ะ!”
หลังจากหยุดนิ่งแล้วหนิงหลิงยู่ก็ปรายตามองไปทางหลี่เจี้ยนกัง พร้อมกับร้องบอกเขาด้วยสีหน้า และน้ำเสียงเย็นชา
หลี่เจี้ยนกังเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้เพราะจากท่าทางของหนิงหลิงยู่เวลานี้ ทำให้เขารู้สึกว่า ปราการที่ตนเองเคยคิดว่าแข็งแกร่งนั้น อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด เขารู้สึกว่า หนิงหลิงยู่นั้นยังไม่ได้ตั้งใจลงมือทำลายค่ายกลอย่างจริงจังต่างหาก คล้ายกับว่า นางเพียงแค่กำลังทดสอบความแข็งแกร่งของมันอยู่เท่านั้น
แต่นับว่าโชคดีที่อย่างน้อยหนิงหลิงยู่ยังยอมหยุด เพื่อฟังคำพูดของเขาบ้าง เวลานี้ สิ่งที่หลี่เจี้ยนกังต้องการอย่างยิ่งก็คือ โอกาสสำหรับการต่อรอง
“แม่นางหลิงยู่ข้าหลี่เจี้ยนกังเข้าใจดี และจะไม่กล่าววาจาเพ้อเจ้ออันใดโดยเด็ดขาด”
หลี่เจี้ยนกังก้าวเท้าเข้าไปด้านหน้าอีกสองก้าวและใกล้กับหนิงหลิงยู่ที่อยู่ด้านนอกปราการมากขึ้น เขาทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าใคร่จะถามแม่นางหลิงยู่ว่าหากสำนักกระบี่คุนหลุนยอมสวามิภักดิ์ต่อแม่นาง สำนักของข้าจะได้ประโยชน์อันใดบ้าง”
หลังจากที่เอ่ยถามออกไปเช่นนั้นหลี่เจี้ยนกังก็สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของหนิงหลิงยู่เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นทันที เขาจึงรีบอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ความแข็งแกร่งของแม่นางหลิงยู่นั้นข้าเองย่อมตระหนักดีแล้ว แต่ต่อให้เจ้าสามารถทำลายค่ายกลเข้ามาได้ ข้าเชื่อว่า ทุกคนในที่นี้ก็คงจะยอมสู้ตายกับเจ้า พวกเขาคงมิยินยอมให้เจ้าจับได้แต่โดยดีแน่ เจ้าคิดเห็นเช่นใดกับคำพูดของข้า”
คำพูดของหลี่เจี้ยนกังนั้นประกาศชัดเจนว่าหากหญิงสาวมิยอมเอ่ยปากกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ผู้ใดจะสามารถล่วงรู้ความต้องการของนางได้เล่า
เมื่อหนิงหลิงยู่ได้ฟังคำพูดประโยคแรกของหลี่เจี้ยนกังนางก็ดูเหมือนจะหมดความอดทนขึ้นมาในทันที แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเขา นางจึงได้ปรายตามองหลี่เจี้ยนกังอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“หลี่เจี้ยนกังหากเจ้ายอมเปิดปราการให้ข้า ข้าจะยอมถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะพลังที่ล้ำเลิศให้แก่เจ้า ด้วยวิชาบ่มเพาะนี้ เจ้าไม่เพียงจะสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้ แต่ยังจะสามารถเข้าสู่ขั้นจินตัน ซึ่งจะนำพาเจ้าให้สามารถเข้าสู่ความเป็นเซียนได้อีกด้วย!”
“ห๊ะ!”
ทันทีที่หนิงหลิงยู่กล่าวจบเสียงอุทานของเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังหลี่เจี้ยนกังเวลานี้ ก็ดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกันในทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆกันไป
“ขั้นจินตันงั้นรึ”
“พวกเราต้องเพียรฝึกฝนเนิ่นนานเท่าใดกันจึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นนี้ได้”
“ข้าได้ยินมาว่าขั้นจินตันเสมือนยาอายุวัฒนะ หากผู้ใดฝึกถึงขั้นนี้ จะมีอายุยืนยาวอย่างน้อยห้าร้อยปีเลยทีเดียว และด้วยคุณสมบัติข้อนี้ คนผู้นั้นก็จะได้เข้าไปในคุนหลุนอีกด้วย..”
“อย่าได้ไปฟังคำพูดของนางมารนี่!นางเพียงแค่เอาเรื่องนี้มาหลอกล่อให้เปิดค่ายกลเท่านั้นเอง ข้าไม่เชื่อว่านางจะถ่ายทอดวิชาล้ำเลิศเช่นนี้ให้จริงๆแน่!”
“นั่นน่ะสิ!พลังชีวิตในโลกนี้แห้งเหือด หากสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้ง่ายดายเช่นนี้ ป่านนี้ในคุนหลุนคงมียอดฝีมือขั้นจินตันนับไม่ถ้วนแล้ว!”
“เจ้าสำนักหลี่ท่านอย่าได้เชื่อวาจาโป้ปดของนางโดยเด็ดขาด!”
หลี่เจี้ยนกังนิ่งคำสนทนาของเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังตนโดยมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เขานิ่งเงียบใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกมือขึ้นห้ามให้ทุกคนอยู่ในนความสงบ จากนั้น จึงได้เงยหน้าขึ้นมองหนิงหลิงยู่ และเอ่ยตอบนางไปว่า
“ข้ายอมรับว่าข้อเสนอของเจ้านั้นน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว แต่ขอถามแม่นางหลิงยู่ว่า เคล็ดวิชาที่ล้ำเลิศนี้ จะถ่ายทอดให้ข้าเพียงผู้เดียว หรือถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ทุกคนในสำนักด้วยรึ”
หนิงหลิงยู่ตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้เปิดค่ายกลให้กับข้า ข้าย่อมต้องถ่ายทอดให้แกเจ้าเพียงผู้เดียวน่ะสิ! ส่วนชะตากรรมของผู้อื่น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง เรื่องนี้มิเกี่ยวกับเจ้า!”
“…..”
หลี่เจี้ยนกังได้แต่นิ่งเงียบไป..
“เจ้าสำนักหลี่อย่าได้ฟังคำพูดเพ้อเจ้อของนางมารโดยเด็ดขาด!”
ในเวลานั้นเองหลี่เจี้ยนกังก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมา พร้อมกับร่างของเขาที่พุ่งทะยานมายืนอยู่ด้านข้างของหลี่เจี้ยนกัง และเอ่ยขึ้นในทันทีว่า
“เจ้าสำนักหลี่นางมารผู้นี้สังหารศิษย์ของพวกเราทั้งเก้าสำนักตายไปมากมาย นางทั้งโหดเหี้ยมป่าเถื่อน ไม่สนใจใยดีที่จะฟังผู้ใดทั้งนั้น!”
“ใช่แล้ว!ท่านเจ้าสำนักจางกล่าวได้ถูกต้อง!” เจ้าสำนักเย่วเอ่ยสนับสนุนพร้อมกับเหาะตรงเข้ามายืนด้านข้างของหลี่เจี้ยนกังเช่นกัน พร้อมกับเอ่ยต่อทันที
“สำนักของข้าก็ถูกนางมารนี่บุกไปถล่มเช่นกันหากผู้ใดขัดขืนนางแม้แต่น้อยนิด นางจะลงมือสังหารโดยไม่สนใจแม้แต่จะไตร่ถาม..”
จูเถี่ยและเย่วจวินซานเหาะเข้าไปประกบหลี่เจี้ยนกังไว้คนละข้าง แม้จะดูเหมือนทั้งคู่กำลังเจรจาโน้มน้าวเจ้าสำนักหลี่ให้เห็นด้วยกับตนเอง แต่หากหลี่เจี้ยนกังคิดที่จะเปิดปราการออกให้หนิงหลิงยู่เข้ามาจริงๆแล้วล่ะก็ พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ลังเลที่จะสังหารหลี่เจี้ยนกังทันทีเช่นกัน
และทั้งคู่ก็อยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วมีหรือที่หลี่เจี้ยนกังจะสามารถรับมือได้..
เวลานี้ศัตรูก็เฝ้าอยู่ด้านนอก สหายภายในก็จ้องที่จะสังหารเอาชีวิต!
หลี่เจี้ยนกังได้แต่นึกขมขื่นใจและคำพูดของหนิงหลิงยู่เมื่อครู่ ก็ได้ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านใน ถึงกับแตกออกเป็นสองกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด
และหากครั้งนี้หลี่เจี้ยนกังไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ และไม่ตัดสินใจอย่างระมัดระวังแล้วล่ะก็ เขาก็คงต้องไปพบยมบาลเป็นคนแรก
“พวกท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย!ข้อเสนอเพียงแค่นี้ ไม่สามารถทำให้จิตใจของข้าสั่นคลอนได้แน่! ข้าไม่มีทางลืมหน้าที่ในการปกป้องสำนักกระบี่คุนหลุน ซึ่งก่อตั้งมาหลายชั่วคนแน่!”
ทันทีที่หลี่เจี้ยนกังกล่าวจบเขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดค่ายกลสังหาร ในฐานะที่สำนักกระบี่คุนหลุนมีหน้าที่ต้องปกป้องประตูเข้าคุนหลุน หลี่เจี้ยนกังซึ่งเป็นถึงเจ้าสำนัก จึงไม่อาจเปิดปราการให้ศัตรูเข้ามาได้ง่ายๆเช่นกัน
อีกทั้งแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหนิงหลิงยู่ เขาเองก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่ขั้นจินตันได้เช่นกัน หากได้เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะพลังในคุนหลุน หลี่เจี้ยนกังมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะเลือกตัดสินใจเช่นใด
จูเถี่ยได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ตอบกลับไปว่า“เจ้าสำนักหลี่ พวกเราเข้าใจท่านดี หาไม่แล้วพวกเราคงจะไม่เลือกที่จะหลบหนีมาซ่อนตัวในสำนักของท่าน!”
หลังจากนั้นเย่วจุนซานก็ได้แต่เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าสำนักหลี่จึงไม่เปิดค่ายกลสังหารเพื่อฆ่านางมารนั่นทิ้งไปเล่า แม้ค่ายกลสังหารจะไม่สามารถฆ่านางได้ในทันที แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้นางได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้น พวกเราทั้งหมดจึงค่อยออกไปรุมสังหารนางพร้อมกัน!”
“พวกท่านอย่าได้ร้อนใจไปนักเลย!อย่างไรเสียคำพูดของนางมารก็ไม่อาจทำให้ข้าเปิดปราการได้แน่! เพียงแต่เวลานี้ ข้ามีแผนบางอย่างในใจแล้ว เหลือเพียงแค่ต้องอธิบายให้กับหนิงหลิงยู่ฟังกระจ่างแจ้งเสียก่อน หาไม่แล้ว แม้จะสามารถสังหารนางได้ในคืนนี้ แต่ในวันข้างหน้า ย่อมเกิดหายนะใหญ่หลวงต่อสำนักกระบี่คุนหลุนของข้าเป็นแน่!”
เยว่จุนซานถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถามหลี่เจี้ยนกังไปว่า “ข้าไม่เข้าใจ! หากพวกเราสังหารนางมารนี้ได้ เหตุใดยังจะมีหายนะลูกใหม่อีกเล่า หรือยังมีผู้ใดที่แข็งแกร่งกว่านางมารผู้นี้ ที่จะกลับมาแก้แค้นแทนนางอีกรึ?”
“ย่อมต้องมีแน่นอน!”
หลังจากที่อธิบายให้เจ้าสำนักทั้งสองฟังอย่างรวดเร็วแล้วในที่สุดหลี่เจี้ยนกังจึงได้หันไปบอกกับหนิงหลิงยู่ว่า
“แม่นางหลิงยู่อภัยที่ข้าไม่สามารถเปิดปราการให้เจ้าเข้ามาได้ แม้ข้อเสนอของเจ้าจะน่าสนใจยิ่งนัก แต่ต่อให้ข้ายินยอม เจ้าสำนักคนอื่นๆในที่นี้ก็คงไม่ยินยอม..”
ดูเหมือนหนิงหลิงยู่เองก็พอจะคาดเดาคำตอบได้นางจึงได้แต่ยิ้มเย็นอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของหลี่เจี้ยนกังนัก พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “หลี่เจี้ยนกังในเมื่อข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับปฏิเสธ! นี่เจ้าคงคิดว่าข้าไร้ความสามารถที่จะทำลายค่ายกลของเจ้าได้สินะ”
หลี่เจี้ยนกับรู้ดีว่าไม่มีโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาต่อรองกันได้แน่แล้ว เขาจึงได้แต่จ้องมองหญิงสาวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พร้อมตอบกลับไปว่า
“ในเมื่อแม่นางหลิงยู่มิต้องการเจรจาต่อรองเช่นนี้ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน หากแม่นางคิดว่าตนเองจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ ก็เชิญแม่นางลองดูเถิด..”
“แต่ก่อนที่แม่นางจะทำเช่นนั้นข้าหลี่เจี้ยนกังมีคำถามสุดท้ายที่จะเอ่ยถามแม่นางได้หรืไม่”
“เจ้าถามมาได้..”
หลี่เจี้ยนกังยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามออกไปทันที “เรื่องที่แม่นางบุกถล่มสำนักต่างๆบนเขาคุนหลุน และเข่นฆ่าผู้คนตายไปมากมายเช่นนี้ หลิงหยุนพี่ชายของเจ้ารู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่” หลังจากได้ยินคำถามประโยคนี้ของหลี่เจี้ยนกังสีหน้าของหนิงหลิงยู่พลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ท่าทางของหนิงหลิงยู่ที่แสดงออกมาทั้งหมดนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของหลี่เจี้ยนกัง ที่กำลังจ้องมองอย่างไม่กระพริบตาได้
คิ้วทั้งสองข้างของหนิงหลิงยู่เลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะย้อนถามกลับไปว่า “หลี่เจี้ยนกัง เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้”
หลี่เจี้ยนกังนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบหนิงหลิงยู่กลับไปว่า “นั่นเพราะข้ากับหลิงหยุนพี่ชายของเจ้า พวกเราทั้งสองคนได้เคยพบกันในงานชุมนุมชาวยุทธก่อนหน้าแล้ว และความบาดหมางต่างๆของสำนักกระบี่คุนหลุนกับหลิงหยุน ก็ได้สะสางกันเรียบร้อยตั้งแต่คืนนั้นแล้ว..”
“ข้าจึงต้องการที่จะรู้ว่าการที่เจ้ามาบุกสำนักกระบี่คุนหลุน และบีบให้พวกเราต้องสวามิภักดิ์ต่อเจ้าเช่นนี้ หากพวกเราตัดสินใจสู้ตายกับเจ้า และเจ้าได้รับอันตรายขึ้นมา พวกเราจะได้รู้ว่า หลิงหยุนจะกลับมาแก้แค้นคืนหรือไม่ หรือเรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว..”
หลี่เจี้ยนกังแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่กว่าที่จะเอ่ยคำพูดทั้งหมดภายในใจออกมาได้..
“ฮ่าๆๆๆ”
แต่แล้วจู่ๆหนิงหลิงยู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังกึกก้อง ก่อนจะตอบหลี่เจี้ยนกังกลับไปทันที
“หลี่เจี้ยนกังสิ่งที่ข้าทำลงไปทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย และข้าก็มิได้สนใจว่าเขาจะคิดเช่นใดด้วย!”
“แต่คำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้จะทำให้เจ้าต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และเมื่อใดที่ข้าทำลายปราการนี้ได้ เจ้าจะเป็นคนแรกที่ต้องถูกข้าสังหาร!”
ยังไม่ทันที่หนิงหลิงยู่จะกล่าวจบประโยคดีดอกบัวสีทองทั้งแปดสิบเอ็ดดอกก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้น แสงสว่างจากดอกบัวทั้งหมด ก็พวยพุ่งออกมากระทบเข้ากับปราการตรงหน้าทันที
บูม..บูม.. บูม..
เสียงคล้ายระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณปราการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเวลานี้ ดอกบัวทั้งแปดสิบเอ็ดดอก ก็กำลังพุ่งเข้าทำลายปราการ จนขุนเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่คุนหลุนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปด้วย
และเวลานี้ปราการที่ปกป้องสำนักกระบี่คุนหลุนก็กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่สุด!
“ถึงทีของข้าบ้างแล้ว!”
ในเวลานั้นเองหลี่เจี้ยนกังก็ได้เหาะลงไปที่ผืนดิน เขายืนแน่นิ่งและกำลังใช้พลังจิตสั่งการอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นดูเหมือนปราการตรงหน้าได้เปลี่ยนเป็นหนา และแข็งแกร่งขึ้นในทันที ส่วนที่ถูกดอกบัวสีทองทำลายได้นั้น พลันกลับสู่สภาพเดิม หลี่เจี้ยนกังยกมือข้างขวาที่ถือกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นความยาวของกระบี่นั้นดูเหมือนจะเท่ากับมีดสั้นเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่บนตัวกระบี่กลับมีอักขระปริศนาสลักอยู่มากมาย แสงสีทองสุกสว่างเจิดจ้าขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“แม่นางหลิงยู่ในเมื่อมิอาจเป็นสหายได้ จึงเหลือเพียงความเป็นศัตรูเท่านั้น!”
หลังจากที่ได้รับการยืนยันจากปากหนิงหลิงยู่แล้วว่าการกระทำของนางครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับหลิงหยุน หลี่เจี้ยนกังจึงไม่รีรอที่จะเปิดค่ายกลสังหารให้ทำงานในทันที!
��
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร