บทที่ 1642 : มือกระบี่ขั้นจินตัน
เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งสำนักกระบี่คุนหลุนและแทงทะลุเข้าไปในโสตประสาทของทุกคนที่อยู่ภายใน แต่น้ำเสียงนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่กระแทกกระทั้นบาดหู ให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจแก่ผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก
เมื่อได้ยินว่าผู้ที่มาถึงในเวลานี้คือยอดฝีมือจากคุนหลุน เจ้าสำนักน้อยใหญ่ต่างก็พากันดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ในเวลานั้น ทุกคนต่างก็พากันหันมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่พบเจ้าของเสียงนั้น ในที่สุด ทุกคนต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องนภา..
แต่สิ่งที่ทุกคนพบเห็นนั้นกลับมีเพียงแค่จันทรา และดวงดาวที่กำลังทอแสง และเปล่งประกายพร่างพราวไปทั่วแผ่นฟ้าเท่านั้น มิมีผู้ใดปรากฏอยู่เลย
พรึบ..
แต่ในเวลานั้นเองร่างของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผืนดินเบื้องล่างทันที และกำลังหันหน้ามาเผชิญกับทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
ผู้ที่มาเยือนในครั้งนี้เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามยิ่งนัก ผิวพรรณนั้นขาวและเรียบเนียนประหนึ่งหยกเนื้อดี สวมใส่ชุดคล้ายกับนักพรตเต๋าที่มีแขนเสื้อขนาดใหญ่ หลังจากที่ปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นก็ได้ก้าวเท้าตรงเข้าไปหลี่เจี้ยนกังทันที
“สำนักกระบี่คุนหลุนอ่อนด้อยกว่าที่ข้าคิดไว้มากจริงๆพ่อหนุ่ม! ขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้ายังอ่อนด้อยเกินไปนัก จึงไม่สามารถทำให้ค่ายกลปราการ แสดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง และรู้สึกโมโหยิ่งนัก!”
นักพรตหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะอยู่ในวัยไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำไปแต่กลับเรียกขานหลี่เจี้ยนกังว่า ‘พ่อหนุ่ม’ พร้อมกับเข้าไปกระชากกระบี่ทองคำในมือของหลี่เจี้ยนกังมาถือไว้ ก่อนจะตวาดเขากลับไปเสียงดัง
“เจ้าหลีกไปให้พ้น!”
หลังจากที่นักพรตหนุ่มตวาดไล่หลี่เจี้ยนกังแล้วเขากลับรู้สึกได้ทันทีว่า รอบกายของตนเองนั้นคล้ายถูกห่อหุ้มด้วยพลังที่นุ่มนวล เท้าของเขาค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะลอยละลิ่วออกไปไกลราวสิบกว่าเมตรได้
“พ่อหนุ่ม!ดูให้เต็มตา ข้าจะสาธิตการใช้ค่ายกลปราการที่แข็งแกร่งของสำนักกระบี่คุนหลุนให้เจ้าดู..”
นักพรตหนุ่มปรายตามองหลี่เจี้ยนกังก่อนจะปล่อยให้ฝ่าเท้าของตนสัมผัสกับผืนปฐพีเบื้องล่าง แต่ก็เพียงข้างเดียวเท่านั้น!
เจ้าสำนักน้อยใหญ่ต่างก็พากันสัมผัสได้ในทันทีว่าพลังชีวิตจากผืนปฐพีใต้ฝ่าเท้าของพวกตนนั้น จู่ๆ ก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างมากมาย ภายในเวลาเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ทุกคนต่างก็รู้สึกราวกับกำลังตกอยู่ท่ามกลางท้องทะเลพลังชีวิต
จากนั้นพลังชีวิตเหล่านั้น ก็ได้พุ่งขึ้นสู่ห้วงอากาศ เข้าไปหลอมรวมกับปราการสีทองเบื้องบน
รูขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเมตรที่ถูกดอกบัวทองคำของหนิงหลิงยู่ดูดซับเอาพลังสีทองเข้าไปจนค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น รวมทั้งปราการส่วนอื่นๆ ที่เวลานี้เห็นเป็นพียงแค่ชั้นฟิล์มบางๆเท่านั้น จู่ๆพลันมีขนาดที่หนาขึ้นในทันที จนแม้แต่ดวงตาปกติ ยังสามารถมองเห็นปราการหนานี้ได้อย่างชัดเจน
ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่รูขนาดใหญ่ที่หนิงหลิงยู่ทุบจนแตก ก็ได้ปิดสนิทในทันทีด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันทุกคนต่างก็รู้สึกว่า พลังชีวิตยังคงพวยพุ่งขึ้นมาจากผืนดินเบื้องล่างไม่หยุด ทำให้ภายในค่ายกลปราการแห่งนี้ มีพลังชีวิตที่หนาแน่นยิ่ง
ทั้งหลี่เจี้ยนกังเองรวมทั้งเจ้าสำนักคนอื่นๆ ต่างก็ได้แต่ยืนงุนงงด้วยความตกตะลึง!
หากค่ายกลปราการมีอานุภาพที่แข็งแกร่งเช่นนี้อย่าว่าแต่หนิงหลิงยู่จะไม่สามารถทำลายปราการที่หนากว่าหนึ่งนิ้วนี้ได้เลย ต่อให้นางสามารถทำลายได้ แต่พลังชีวิตที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ปราการแห่งนี้ ก็ย่อมสามารถซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาแข็งแกร่งได้ดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว!
เวลานี้ทุกคนต่างก็แทบไม่ต้องคิดว่า ค่ายกลนี้จะสามารถต้านทานหนิงหลิงยู่ได้หรือไม่ เพราะแม้กระทั่งยอดฝีมือในขั้นจินตันยังยากที่จะฝ่าทำลายเข้ามาได้..
“เอาล่ะพ่อหนุ่มคราวนี้เจ้าคอยดูให้ดี ข้าจะสาธิตการใช้ค่ายกลสังหารของสำนักกระบี่คุนหลุนให้เจ้าดู!”
นักพรตหนุ่มถือกระบี่สีทองในมือชูขึ้นบนท้องฟ้า!
เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวพลังชีวิตจากขุนเขาที่รายล้อมสำนักกระบี่คุนหลุนไว้ ต่างก็มีแสงสีทองสุกสว่างรูปมังกรสีทองเปล่งประกายออกมา จากนั้น แสงสีทองรูปมังกรเหล่านั้นก็ได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
แสงสีทองสุกสว่างที่พุ่งทะยานออกมาประหนึ่งภูเขาไฟระเบิดนั้นได้หลอมรวมกันเป็นพลังชีวิตสีทองสุกสว่าง ก่อนจะค่อยๆกลายรูปเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ยาวหลายเมตร จากนั้นกระบี่เล่มยักษ์หลายสิบเล่ม ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาเบื้องบน ก่อนจะพุ่งผ่านค่ายกลปราการเข้ามาพร้อมกัน
กระบี่สีทองเล่มใหญ่นับสิบเล่มมีรังสีสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา แม้กระทั่งเจ้าสำนักน้อยใหญ่ที่อยู่ในค่ายกลปราการ ก็ล้วนแล้วแต่ขนลุกซู่ และสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ดูเหมือนนักพรตหนุ่มผู้นี้จะตั้งใจแสดงให้ทุกคนเห็นอานุภาพที่แท้จริงของค่ายกลสังหาร ก่อนจะหันไปถามหลี่เจี้ยนกังว่า
“เจ้าหนูเจ้าได้เห็นอานุภาพของค่ายกลสังหารที่แท้จริงแล้วสินะ”
หลี่เจี้ยนกังได้แต่นิ่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่แต่หาใช่เพราะเขาหวาดกลัวความตายแต่อย่างใด และหาใช่เพราะตกตะลึงในอานุภาพของค่ายกลปราการ หรือค่ายกลสังหารที่ควบคุมโดยนักพรตหนุ่มนี้แต่อย่างใด..
แต่เขากำลังตื่นเต้นตกใจกับฐานะที่แท้จริงของนักพรตหนุ่มผู้นี้ต่างหากเล่า! พรึบ..
และแล้วจู่ๆ หลี่เจี้ยนกังก็คุกเข่าลงพร้อมกับโขกศรีษะลงกับพื้นทันที ปากก็เฝ้าแต่พร่ำร้องตะโกนว่า
“ท่านอาจารย์ปู่!ท่านอาจารย์ปู่ เป็นท่านจริงหรือนี่ นี่ท่าน.. เหตุใดท่านจึงปรากฏตัวขึ้นได้?”
แน่นอนว่าหลี่เจี้ยนกังซึ่งเป็นเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนคนปัจจุบัน ย่อมมิเคยพบเจอนักพรตหนุ่มผู้นี้มาก่อน แต่ภายในหอบรรพชนของสำนักกระบี่คุนหลุนนั้น มีภาพของเจ้าสำนักคนก่อนๆ ของสำนักกระบี่คุนหลุนทุกรุ่น
และจากรูปพรรณสันฐานของนักพรตหนุ่มผู้นี้หลี่เจี้ยนกังก็ได้แต่คาดเดาว่า คนผู้นี้จะเป็นผู้ใดไปมิได้ นอกจากเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนคนที่สามสิบสาม นามว่าชี่ยวิ๋นจื่อ!
เมื่อหกสิบปีก่อนหน้านี้เจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนชี่ยวิ๋นจื่อ ได้มอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับอาจารย์ของหลี่เจี้ยนกังดูแล ก่อนที่เขาจะเดินทางเข้าสู่คุนหลุนในฐานะมือกระบี่ผู้มีพลังบ่มเพาะล้ำเลิศ นับจากนั้นมา เขาก็มิเคยกลับมาที่สำนักกระบี่คุนหลุนอีกเลย
ในช่วงเวลาที่ชี่ยวิ๋นจื่อเดินทางเข้าคุนหลุนนั้นหลี่เจี้ยนกังยังไม่ถือกำเนิดด้วยซ้ำไป!
“โอ้พ่อหนุ่ม!คิดไม่ถึงว่า แม้ฝีมือของเจ้าจะไม่เอาไหน แต่สายตาของเจ้ากลับดีมากทีเดียว เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็สามารถจดจำข้าได้แล้ว!”
ชี่ยวิ๋นจื่อเอ่ยชมหลี่เจี้ยนกังเช่นนี้เขาในฐานะศิษย์ตัวเล็กๆ ยังจะสามารถโต้เถียงอันใดได้อีกเล่า
“หึ!นี่เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าว่า เหตุใดข้าจึงมาปรากฏตัวอีกงั้นรึ หากข้ามิมาปรากฏตัวในครั้งนี้ สำนักกระบี่คุนหลุนคงต้องถูกทำลายจนสิ้นชื่อแน่!”
จากนั้นร่างของชี่ยวิ๋นจื่อก็หายไปปรากฏอยู่ตรงหน้าหลี่เจี้ยนกัง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ในเมื่อสำนักกระบี่คุนหลุนกำลังจะถูกทำลายจนสิ้นชื่อเช่นนี้เจ้าจะให้ข้าอยู่เฉยได้อย่างไรกันเล่า”
หลี่เจี้ยนกังได้แต่โขกศรีษะต่อพร้อมเอ่ยตอบไปว่า “ท่านอาจารย์ปู่อย่าได้โมโหไปเลย! เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของศิษย์เอง ได้โปรดลงโทษศิษย์ด้วยเถิด!”
ชี่ยวิ๋นจื่อยกมือขึ้นทำท่านจะจับเครายาวของตนเองแต่แล้วจู่ๆ ก็คล้ายนึกขึ้นมาได้ว่า เวลานี้ตนเองมิได้มีหนวดเคราอีกต่อไปแล้ว เขากระแอมเล็กน้อยแก้เก้อ ที่ฝ่ามือของตนคว้าได้เพียงแค่ความว่างเปล่า พร้อมกับจ้องมองหลี่เจี้ยนกังที่กำลังโขกศรีษะอยู่กับพื้นแน่นิ่ง
เขาจ้องมองหลี่เจี้ยนกังอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“เฮ้อ..ความจริงเรื่องนี้จะตำหนิเจ้าฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนัก หลายปีมานี้ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของสำนักกระบี่คุนหลุน ก็ล้วนแล้วแต่ถูกคัดเลือกไปเข้าคุนหลุนจนหมด อีกทั้งโลกภายนอกยังขาดแคลนพลังชีวิต โอกาสที่จะฝึกฝนจนก้าวหน้าได้มากจึงมีน้อยมาก เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด..”
หลังจากที่หลี่เจี้ยนกังลุกขึ้นยืนเขาก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองชี่ยวิ๋นจื่อเต็มตานัก จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาตอบกลับไปว่า
“ท่านอาจารย์ปู่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก!”
เวลานี้มีเพียงหลี่เจี้ยนกังที่ลุกขึ้นยืน แต่บนผืนดินรอบๆตัวเขา เจ้าสำนักคนอื่นๆ ต่างก็ยังคงคุกเข่านิ่ง และหลังจากได้ฟังบทสนทนาระหว่างหลี่เจี้ยนกังกับชี่ยวิ๋นจื่อแล้ว หนึ่งในนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นว่า
“ผู้น้อยทั้งหมดขอขอบคุณอาวุโสที่ได้ออกมาช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้!”
ในโลกของผู้ฝึกบ่มเพาะพลังนั้นผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพยำเกรง!
อาวุโสชี่ยวิ๋นจื่อผู้นี้มาจากคุนหลุนจึงแทบไม่ต้องถามถึงความแข็งแกร่งของเขา แม้เจ้าสำนักคนอื่นๆ ที่มีอายุนับร้อยปีจะรู้จักกับอาวุโสชี่ยวิ๋นจื่อ แต่ด้วยพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกันมาก ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะสนทนาฉันท์สหาย และได้แต่คุกเข่าลงเช่นกัน
และที่สำคัญเหนืออื่นใดคนผู้นี้มาเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาทุกคน สมควรอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องคุกเข่าคาราวะ!
ชี่ยวิ๋นจื่ออยู่ในคุนหลุนมานานร่วมหกสิบปีแม้เวลานี้เขาจะได้กลับกลายเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง และสหายสองสามคนในที่นี้จะไม่สามารถจดจำเขาได้ แต่เขาก็ยังสามารถจดจำทุกคนได้ดี แต่เวลานี้ คนเหล่านี้กลับกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าตนเอง
“ลุกขึ้น!ลุกขึ้นเร็วเข้า นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน”
แต่กลับไม่มีผู้ใดยอมลุกขึ้นจนชี่ยวิ๋นจื่อต้องใช้พลังจิตของตน พยุงทุกคนให้ลุกขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว
หลังจากนั้นเขาก็หยิบขวดยาออกมาแล้วโยนให้หลี่เจี้ยนกัง พร้อมกับสั่งว่า “เจ้านำโอสถนี้ไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บโอสถนี้จะช่วยฟื้นฟูทำให้พวกเขาหายจากอาการบาดเจ็บได้โดยเร็ว”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่!”
หลี่เจี้ยนกังเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับโอสถไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในทันที เขาไม่กล้าที่จะล่าช้าแม้เพียงเล็กน้อย เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บ จากการช่วยปกป้องชีวิตของเขาจากหนิงหลิงยู่
หลังจากนั้นชี่ยวิ๋นจื่อก็เปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกครอบคลุมรัศมีกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรในทันที ภายใต้รัศมีจิตหยั่งรู้นั้น เขาได้พบหนิงหลิงยู่ที่เหาะหนีการไล่ล่าของกระบี่เหินเล่มแดงของตนอยู่
“ไม่น่าเชื่อ!นางมารนี่ยังไม่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานหรอกรึ แต่เหตุใดจึงมีพลังอมตะดั่งเซียนได้..”
ในระหว่างที่สำรวจหนิงหลิงยู่อย่างจริงจังนั้นชี่ยวิ๋นจื่อก็อดที่จะพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้.. นั่นเพราะหนิงหลิงยู่ดูแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์มากจริงๆ!
แม้กระทั่งเวลานี้ที่ถูกกระบี่เหินของเขาไล่ล่าอยู่นั้นหนิงหลิงยู่กลับยังดูสงบเยือกเย็น ไม่มีสีหน้าหวาดหวั่น หรือกังวลใจปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
และเมื่อครู่ที่หนิงหลิงยู่เหาะหนีไปนั้นหาใช่เพราะนางหวาดกลัวไม่ นั่นเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาที่ทำไปโดยสัญชาติญาณ หลังจากที่จู่ๆก็มีกระบี่เหินพุ่งเข้าจู่โจมหมายเอาชีวิตเช่นนั้น
“ไม่น่าเชื่อ!คิดไม่ถึงจริงๆว่า นอกจากคุนหลุนแล้ว จะมียอดฝีมือที่ล้ำเลิศเช่นนี้ด้วย!”
เวลานี้ดูเหมือนชี่ยวิ๋นจื่อแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่จู่ๆ ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็นึกถึงเหตุการณ์ในงานชุมนุมชาวยุทธขึ้นมาได้ จึงได้ส่งกระแสจิตออกไปว่า
–หวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุน พวกท่านทั้งสองมิต้องไล่ตามนางไปแล้ว เจ้าไม่มีทางไล่ตามนางทันเป็นแน่!”
ชี่ยวิ๋นจื่อนึกถึงเมื่อครั้งงานชุมนุมชาวยุทธที่ทั้งจางคุนหลุนและหลี่คุนหลุน ถึงกับต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด และได้กลับมารายงานความแข็งแกร่งของหลิงหยุนให้ทุกคนในคุนหลุนฟัง
และครั้งนั้นทั้งสองคนยังได้สารภาพกับชี่ยวิ๋นจื่อตามตรงว่า หากพวกเขาทั้งคู่หนีออกมาไม่ทัน คงต้องถูกหลิงหยุนสังหารตายไปแล้วเป็นแน่
ชี่ยวิ๋นจื่อได้เข้าไปฝึกวรยุทธบ่มเพาะในคุนหลุนนานถึงหกสิบปีและเขาเองเพิ่งจะสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุน และมีหน้าที่ควบคุมดูแลค่ายกลทั้งหมดของสำนักอีกด้วย
เมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่ต้องการสาธิตอานุภาพที่แข็งแกร่งของค่ายกลทั้งสอง ให้หลี่เจี้ยนกังเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนคนปัจจุบันได้เห็นเท่านั้น
และด้วยพลังบ่มเพาะของตนในขั้นจินตันนี้ชี่ยวิ๋นจื่อเชื่อว่า หากเขาใช้ค่ายกลสังหารเมื่อใด แม้แต่ยอดฝีมือขั้นจินตันด้วยกัน ก็คงยากที่จะหนีรอดได้
หลังจากที่ชี่ยวิ๋นจื่อปรากฏตัวแม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับเจ้าสำนักต่างๆ แต่ก็ได้บังคับควบคุมกระบี่เหินของตนเอง ให้ไล่ล่าตามหนิงหลิงยู่ไปไม่หยุด และในเมื่อตัวเขาเข้าสู่ขั้นจินตันแล้ว กระบี่เหินของเขาย่อมต้องมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกันด้วย..
การที่ชี่ยวิ๋นจื่อได้เข้าไปฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะในคุนหลุนนานถึงหกสิบปีนั้นทำให้เขาได้ล่วงรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับโลกของผู้บ่มเพาะพลัง เขาล่วงรู้ว่า การที่จะเข้าสู่ขั้นจินตันได้นั้น เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการฝึกบ่มเพาะพลังเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เขาจะลงมือสังหารหนิงหลิงยู่ เขาจำต้องตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ดีเสียก่อนว่า ผู้ที่หนุนหลังหญิงสาวอยู่นั้นเป็นผู้ใดกันแน่ เขาไม่สามารถลงมือสังหารนางสุ่มสี่สุ่มห้าได้.. หาไม่แล้วผู้ที่แข็งแกร่งกว่าซึ่งหนุนหลังนางอยู่นั้น อาจตำหนิว่าเขารังแกผู้ที่ด้อยกว่า และเขาอาจตกเป็นแพะรับบาปได้ง่ายๆ
เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ทำลายเส้นทางบ่มเพาะพลังของตนเอง ที่เฝ้าฝึกฝนมานานหลายสิบปีแน่..
“เฮ้อ!ข้าเฝ้าเพียรฝึกฝนอยู่ในคุนหลุนมานานถึงหกสิบปี กว่าที่จะสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้ ข้าจะไม่ยอมสูญเสียทุกอย่างเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้แน่!”
หลังจากนึกถึงจางคุนหลุนและหลี่คุนหลุนแล้วชี่ยวิ๋นจื่อก็ได้เหาะตามหนิงหลิงยู่ไป พร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร