บทที่ 1643 : ก็แค่ขั้นจินตัน
ภายในค่ายกลปราการของสำนักกระบี่คุนหลุนหลี่เจี้ยนกังผสานมือทั้งสองไว้ด้านหน้า โน้มศรีษะลงทำการคาราวะ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“หลี่เจี้ยนกังเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุน ขอขอบคุณท่านทั้งสองยิ่งนัก!”
หลังจากที่หวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนเหาะกลับมา หลี่เจี้ยนกังจึงรีบเปิดค่ายกล เชื้อเชิญยอดฝีมือทั้งสองคนให้เข้าไปด้านในทันที พร้อมกับแสดงความเคารพคนทั้งคู่ด้วยการคาราวะ
สำนักกระบี่คุนหลุนมีหน้าที่ปกป้องทางเข้าคุนหลุนในขณะที่หวังคุนหลุน และจ้าวคุนหลุนเอง ต่างก็มีหน้าที่ปกป้องประตูคุนหลุนเช่นกัน
แต่แน่นอนว่าหากเทียบฐานะของคนทั้งสามแล้ว ทั้งหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนนั้น ต่างก็มีฐานะที่สูงส่งกว่าหลี่เจี้ยนกัง ฉะนั้นแล้วเขาจึงสามารถออกคำสั่งกับหลี่เจี้ยนกังได้ ในฐานะที่ตนเองเป็นเสมือนผู้บังคับบัญชา
ทั้งหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนมิได้พำนักอยู่ในสำนักกระบี่คุนหลุนแต่ทั้งคู่ปักหลักอยู่ใกล้ๆกับประตูคุนหลุน และมีหน้าที่คอยปกปักรักษาประตูคุนหลุนซึ่งมีมาเนิ่นนาน
หากอยู่คุนหลุนยอดฝีมือทั้งสองจะถูกเรียกขานว่า ‘ผู้อารักขาประตู’ ซึ่งผู้ที่มารับหน้าที่นี้จะถูกสับเปลี่ยนทุกๆสิบปี และหลังจากปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะได้รับค่าตอบแทนอย่างงามเลยทีเดียว ฉะนั้น พวกเขาทั้งคู่จึงตั้งใจปฏิบัติหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็ง และตั้งอกตั้งใจ
หน้าที่ของผู้อารักขาประตูคุนหลุนนั้นหลักๆคือต้องคอยปกป้องดูแล มิให้ผู้ฝึกวรุยทธบ่มเพาะภายนอก บุกรุกเข้าไปภายในคุนหลุนได้ แต่เพราะหน้าที่ที่ยาวนานถึงสิบปี และต้องอาศัยอยู่นอกคุนหลุนตลอดเวลานั้น ทำให้ผู้ที่ได้รับหน้าที่อารักขาประตูรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง.. และที่สำคัญพลังชีวิตภายนอกคุนหลุนนั้นล้วนเหือดแห้งเต็มที ความหนาแน่นของพลังชีวิตด้านนอก จึงแตกต่างจากพลังชีวิตที่อยู่ภายในคุนหลุนมากทีเดียว ฉะนั้น การอยู่นอกคุนหลุนเป็นเวลานานๆ ย่อมทำให้การฝึกวรยุทธบ่มเพาะของผู้ที่ทำหน้าที่อารักขาประตูล่าช้าตามไปด้วย
แม้ว่าจะมีข้อเสียดังที่กล่าวมาแต่รางวัลตอบแทนที่จะได้รับหลังจากหมดวาระหน้าที่นั้น ก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์คุนหลุนไม่น้อยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวิชาบ่มเพาะพลังที่จะได้รับถ่ายทอด หรือโอสถ และหินล้ำค่าชนิดต่างๆ แล้วยังมีอย่างอื่นอีกมากมาย
แม้ผู้มารับหน้าที่อารักขาประตูคุนหลุนจะต้องประสบกับปัญหาการฝึกฝนที่ล่าช้าไปนานนับสิบปี แต่หลังจากหมดวาระ และด้วยรางวัลต่างๆที่ได้รับหลังจากปฏิบัติหน้าที่จบสิ้นนั้น มันมากมายพอที่จะให้คนผู้นั้นสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะ ได้ก้าวหน้าภายในเวลาอันรวดเร็วเลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถพัฒนาขั้นได้พร้อมกับถึงสามขั้นในคราได้ด้วย
แต่มีข้อแม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ถูกสังหารตายอยู่ภายนอกคุนหลุนเสียก่อน!
ด้วยเหตุนี้งานอารักขาประตูคุนหลุน แม้จะเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย และทำให้ล่าช้าต่อการฝึกบ่มเพาะพลัง แต่ศิษย์น้อยใหญ่จากสำนักต่างๆในคุนหลุน ก็ล้วนแล้วแต่แย่งชิงกันที่จะได้มาปฏิบัติหน้าที่นี้
ส่วนชื่อของผู้อารักขาประตูคุนหลุนนั้นจะเรียกขานกันด้วยฉายา คือใช้แซ่ตระกูลนำหน้า และตามด้วยคำว่าคุนหลุน หลังจากทำหน้าที่ครบสิบปีแล้ว ฉายานี้ก็จะไม่ถูกนำมาเรียกขานคนผู้นั้นอีก
แม้จะต้องสูญเสียเวลาไปนานถึงหนึ่งทศวรรษแต่หลังจากนั้น ก็จะมีโอกาสพัฒนาขั้นได้ในคราวเดียวถึงสอง หรือสามขั้นใหญ่เช่นนี้ จึงมีศิษย์คุนหลุนมากมายหลายคน ที่ต้องการจะมาทำหน้าที่ผู้อารักขาประตูนี้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสได้รับทรัพยากรมากมายในการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง อีกทั้งการได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อารักขาประตูคุนหลุนนั้นก็นับเป็นหน้าที่ที่มีความปลอดภัยต่อชีวิตสูงยิ่งนัก นั่นเพราะตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมานี้ มิเคยมีผู้ใดหาญกล้า ที่จะคิดบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนคุนหลุนเลยสักครั้ง
ฉะนั้นผู้อารักขาประตูคุนหลุนที่ผ่านๆมา ต่างก็ได้กลับเข้าไปในคุนหลุนอย่างปลอดภัย และสามารถฝึกฝนจนก้าวหน้าได้อย่างง่ายดาย
และด้วยเหตุผลนี้นับวัน ผู้ที่ถูกส่งออกมาทำหน้าที่อารักขาประตูคุนหลุนนั้น จึงมักเป็นผู้ผู้ที่ยังมีขั้นพลังบ่มเพาะไม่สูงนัก แม้แต่จางคุนหลุนและหลี่คุนหลุนเอง ก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่เท่านั้น
เรื่องนี้อาจมองเป็นความประมาทเลินเล่อของคุนหลุนก็ได้หรืออาจจะมองว่า เป็นเพราะคุนหลุนแข็งแกร่ง จนมิมีผู้ใดหาญกล้าที่จะบุกรุกเข้าไปก็ได้เช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามงานอารักขาประตูคุนหลุน ก็นับเป็นหน้าที่ที่ปลอดภัยอย่างมาก ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมาเฝ้าอารักขาประตู ก็คงจะไม่แตกต่างกัน..
แม้ที่ผ่านมาหลายร้อยปีจะมิเคยมีชาวยุทธคนใด กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องบุกรุกเข้าไปในดินแดนคุนหลุน แต่ก็ใช่ว่าปัจจุบันจะมิมีผู้ที่คิดเช่นนั้น..
และคนผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิงหยุน!
หลังจากงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนั้นหลิงหยุนได้สร้างความหวาดกลัวให้กับจางคุนหลุน และหลี่คุนหลุนเป็นอย่างมาก ยอดฝีมือทั้งสองของคุนหลุนกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
บุคคลที่รับผิดชอบในเรื่องนี้เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ ทำให้คุนหลุนต้องส่งยอดฝีมือมาทำหน้าที่อารักขาประตูใหม่ ซึ่งก็คือหวังคุนหลุน และจ้าวคุนหลุนนั่นเอง!
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทั้งคู่รอคอยเสียที นับจากนี้ไปอีกสิบปี ยอดฝีมือทั้งสองคนเชื่อว่า หลังจากที่พวกเขาได้กลับเข้าคุนหลุนอีกครั้ง ด้วยรางวัลที่ได้รับหลังการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมทำให้พวกเขาทั้งคู่ สามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ทั้งหวังคุนหลุน และจ้าวคุนหลุนจึงรู้สึกอิ่มเอมใจ และมีความสุขอย่างมาก..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทั้งคู่ได้มาทำหน้าที่อารักขาประตูคุนหลุนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน จู่ๆ หนิงหลิงยู่ก็บุกถล่มสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลินจนสิ้น จากทิศบูรพาจรดทิศประจิม ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ล้วนแล้วแต่ถูกหนิงหลิงยู่บุกทำลายจนสิ้น หญิงสาวผู้นี้เข่นฆ่าศิษย์สำนักต่างๆ ราวกับผักปลา อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมรามืออีกด้วย..
และทันทีที่หลี่เจี้ยนกังได้รับข่าวคราวในเรื่องนี้เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า เป้าหมายของหนิงหลิงยู่นั้น คือสำนักกระบี่คุนหลุนของตน!
สำนักน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาคุนหลุนแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานของยอดฝีมือที่เข้าคุนหลุนไปทั้งสิ้น จะนับว่าเป็นเสมือนพี่เสมือนน้องกับสำนักกระบี่คุนหลุนก็ย่อมได้
หลี่เจี้ยนตระหนักว่าสถานการณ์ในครั้งนี้นับว่าสำคัญยิ่ง อีกทั้งเพื่อเป็นการปกป้องสำนักกระบี่คุนหลุนของตนเองด้วย เขาจึงได้รายงานเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ให้กับทางคุนหลุนทราบ และยังได้ร้องขอให้คุนหลุนส่งยอดฝีมือมาช่วยด้วย แม้ว่าในยามนั้น เขาจะค่อนข้างมั่นใจในอานุภาพของค่ายกลสำนักกระบี่คุนหลุนมากก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ชียวิ๋นจื่อจึงได้ปรากฏตัวขึ้นทันเวลา และการที่คุนหลุนส่งชียวิ๋นจื่อมานั้น เพราะเขาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจินตันได้ อีกทั้งยังเป็นอดีตเจ้าสำนักกระบี่คุนหลุนมาก่อนด้วย จึงมิมีผู้ใดเหมาะสมกับหน้าที่นี้เท่าชียวิ๋นจื่ออีกแล้ว
หลังจากที่ได้ยินหลี่เจี้ยนกังเรียกขานฉายาของยอดฝีมือทั้งสองที่เพิ่งมาถึงเจ้าสำนักน้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็พากันทำการคาราวะพวกเขาทั้งคู่ และรีบเข้าไปทักทาย พร้อมกับเอ่ยขอบคุณในทันทีเช่นกัน
แต่หวังคุนหลุนกับจ้าวคุนหลุนนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจใยดีกับเจ้าสำนักคนอื่นๆนัก พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากนั้นหวังคุนหลุนจึงหันไปเอ่ยกับหลี่เจี้ยนกังว่า “เจ้าสำนักหลี่ เจ้านับว่าทำงานได้ดีเยี่ยมยิ่งนัก! ที่สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ และรายงานเหตุการณ์ให้คุนหลุนรู้ได้ทันท่วงที รอให้ปัญหาครั้งนี้สะสางเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะรายงานความจริงทั้งหมดให้คุนหลุนทราบ เชื่อว่าเจ้าคงจะได้รับรางวัลอย่างงามทีเดียว!”
หลี่เจี้ยนกังประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันพร้อมกับโน้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอบคุณท่านทั้งสองยิ่งนัก!”
ส่วนจ้าวคุนหลุนนั้นดูเหมือนจะเป็นคนที่พูดน้อย เพราะตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวจนถึงเวลานี้ ก็เพียงแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา สีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
แต่ถึงแม้ภายนอกของหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนจะดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นกลับปั่นป่วนกระวนกระวายอย่างยิ่ง..
นั่นเพราะเมื่อครู่ที่พวกเขาทั้งสองได้ไล่ล่าหนิงหลิงยู่ไปนั้นแม้ทั้งคู่จะเหาะไปด้วยความเร็วสูงสุดของตนแล้ว แต่กลับไม่สามารถไล่ตามหญิงสาวได้ทัน ตรงกันข้าม ยิ่งไล่ตามไปมากเท่าใด หนิงหลิงยู่ก็ยิ่งถอยห่างไปมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระทั่งกระบี่เหินที่มีพลังขั้นจินตันของชียวิ๋นจื่อนางยังสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทั้งคู่อดที่จะหวาดหวั่นใจไม่ได้ แต่ถึงแม้จะกลัว ในเมื่อเป็นหน้าที่ พวกเขาก็ต้องเหาะตามหนิงหลิงยู่ไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้..
แต่นับว่าโชคดีที่ชียวิ๋นจื่อเรียกให้พวกเขาทั้งสองคนกลับมาได้ทันเวลา หาไม่แล้ว ก็มิรู้ว่าป่านนี้ชะตาชีวิตของพวกเขาทั้งสองจะเป็นเช่นใด จะอยู่หรือตายก็ยังไม่อาจรู้ได้เช่นกัน!
บนโลกที่พลังชีวิตเหือดแห้งนี้แต่กลับมีผู้ฝึกบ่มเพาะพลังหลายคน ที่สามารถฝึกฝนจนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทำให้แม้แต่พวกเขาที่อยู่ในคุนหลุนหวาดกลัวได้ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่า ภายนอกคุนหลุนมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นด้วย!
หลังจากที่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้หวังคุนหลุน และจ้าวคุนหลุนต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย เวลานี้ ทั้งสองคนต่างก็เริ่มตระหนักแล้วว่า ชีวิตข้างหน้าอีกสิบปีที่พวกเขาหวังไว้นั้น คงจะไม่เป็นไปด้วยดีอย่างที่คาดคิดไว้เป็นแน่
แต่แล้วจู่ๆหลี่เจี้ยนกังก็ได้เอ่ยถามออกไปว่า “ข้าขอบังอาจถามพวกท่านทั้งสองว่า อาจารย์ปู่ของข้าเวลานี้อยู่ในขั้นใดแล้วรึ”
และการที่หลี่เจี้ยนกังจงใจถามออกไปเช่นนั้นเพราะต้องการให้เจ้าสำนักน้อยใหญ่ที่อยู่รอบๆ ได้รู้ว่าสำนักกระบี่คุนหลุนนั้นหาได้อ่อนแอไม่ อย่างน้อยอาจารย์ปู่ของเขาก็แข็งแกร่งมาก!
“ท่านชียวิ๋นจื่อได้เข้าสู่ขั้นจินตันแล้วและเพลงกระบี่ของเขานั้น ก็มีพลังสังหารที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
หวังคุนหลุนเองก็มิได้โง่เขลาเขาเข้าใจจุดประสงค์ของหลี่เจี้ยนกังได้ในทันที จึงได้เอ่ยตอบออกไปเสียงดัง..
“ขั้นจินตันงั้นรึ!”
“แต่ดูเหมือนพลังของอาวุโสจะเหนือกว่ายอดฝีมือในขั้นจินตันทั่วไป!”
“ท่านอาจารย์ชียวิ๋นจื่อแข็งแกร่งเช่นนี้นางมารต้องถูกสังหารตายแน่!”
หลังจากที่ได้ล่วงรู้ขั้นพลังบ่มเพาะของชียวิ๋นจื่อเจ้าสำนักน้อยใหญ่ต่างก็พากันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับจ้องมองหลี่เจี้ยนกังด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม เวลานี้ผู้ใดยังกล้ากล่าวว่า สำนักกระบี่คุนหลุนอ่อนด้อยอีกเล่า
เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคฐานะของหลี่เจี้ยนกังในสายตาของเจ้าสำนักคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนเป็นสูงส่งขึ้นในทันที สีหน้าของเขาเวลานี้ บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จากนั้น จึงได้หันไปเอ่ยถามหวังคุนหลุนกับจ้าวคุนหลุนต่อ
“ขอบังอาจถามท่านทั้งสองอีกครั้งเวลานี้ พวกเราทั้งหมดควรทำเช่นใดดี”
หวังคุนหลุนหันมองไปยังทิศทางที่ชียวิ๋นจื่อเหาะออกไปแล้วจึงเอ่ยตอบยิ้มๆ “อาวุโสชียวิ๋นจื่อออกหน้าเองเช่นนี้ คงจะไม่มีปัญหาอะไร พวกเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่รอให้อาวุโสกลับมา..”
แต่ในเวลานั้นเจ้าสำนักต่างๆ มัวแต่ตื่นเต้นและดีอกดีใจ จนลืมที่จะพินิจพิจารณาคำพูดของหวังคุนหลุนให้กระจ่าง
เขาเอ่ยว่า– คงจะไม่มีปัญหาอันใด.. ……
แต่ในเวลานั้นเองชียวิ๋นจื่อที่ไล่ล่าหนิงหลิงยู่ไปอย่างไม่ควรที่จะต้องมีปัญหาอะไร ก็กลับมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นจนได้
หลังจากเหาะไล่ตามหนิงหลิงยู่ไปได้ไกลกว่าห้าสิบกิโลเมตรในที่สุดเขาก็สามารถไล่ตามหญิงสาวได้ทัน
หนิงหลิงยู่เองก็ไม่เหาะหนีอีกเช่นกันหลังจากที่ถูกกระบี่เหินสีแดงจู่โจม หญิงสาวก็ตั้งใจเหาะหนีออกมาไกลจากสำนักกระบี่คุนหลุนหลายสิบกิโลเมตร ในระหว่างนั้น นางเองก็ได้ใช้กระบี่เหินของตนเองจู่โจมชียวิ๋นจื่อเป็นครั้งคราว เพื่อที่จะทดสอบพลังของเขาไปด้วย
เวลานี้หนิงหลิงยู่มาหยุดอยู่เหนือท้องทะเลสาบขนาดใหญ่ หลังจากนั้น กระบี่เหินสีแดงก็ได้เปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงสว่าง ก่อนจะหายกลับเข้าไปในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของชียวิ๋นจื่อ
ในตอนนี้ทั้งหนิงหลิงยู่ และชียวิ๋นจื่อต่างก็เหาะอยู่กลางอากาศ ทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงห้าเมตร สายตาของชียวิ๋นจื่อจับจ้องอยู่ที่ร่างของหนิงหลิงยู่แน่นิ่ง หลังจากสำรวจดูหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงได้เอ่ยออกไปว่า
“แม่นางเจ้าบังอาจมากนักนะ!”
“หึ!ก็แค่ยอดฝีมือขั้นจินตัน มีอะไรน่ากลัวงั้นรึ” หนิงหลิงยู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
“…”
ชียวิ๋นจื่อถึงกับนิ่งอึ้งไป..
‘ก็แค่ขั้นจิ้นตันงั้นรึ!’
ชียวิ๋นจื่อฟังแล้วก็ได้แต่นึกโมโหและได้แต่คิดว่า หญิงสาวผู้นี้ช่างไร้มารยาท ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ!
เขาใช้เวลานกว่าหกสิบปีหมั่นเพียรฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยความยากลำบาก กว่าที่จะสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้ แต่หญิงสาวผู้นี้กลับพูดราวกับว่า มันมิได้มีค่าราคาอันใด!
แต่เมื่อนึกถึงดอกบัวทองคำทั้งแปดสิบเอ็ดดอกและพลังอมตะของนาง ชียวิ๋นจื่อก็ได้แต่นิ่งเงียบไป และในฐานะที่เขาอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว จึงไม่ควรที่จะไปโต้เถียงกับหญิงสาวเช่นนาง..
“แม่นาง..เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าปราณีเจ้ามากเพียงใดแล้ว”
“ข้าเห็น!และข้าเองก็ปราณีท่านมากแล้วเช่นกัน!”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของหนิงหลิงยู่ใบหน้าของชียวิ๋นจื่อก็เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร