บทที่ 1644 : จงดูให้ดี
เป็นเวลานานถึงหกสิบปีเลยทีเดียวที่ชียวิ๋นจื่อเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ในคุนหลุน จนกระทั่งเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจินตันได้..
และหากไม่ถูกสังหารตายเสียก่อนแน่นอนว่า เขาย่อมจะมีอายุยืนยาวถึงห้าร้อยปีเลยทีเดียว!
จนกระทั่งเกิดเป็นคำกล่าวขึ้นในโลกยุทธภพว่าเมื่อใดที่เข้าสู่ขั้นจินตัน เสมือนหนึ่งได้กลืนยาอายุวัฒนะ ชีวิตหลังจากนั้นมิแปรผันตามธรรมชาติ
ในคุนหลุนนั้นจะเรียกยอดฝีมือที่เข้าสู่ขั้นจินตันว่าผู้เยี่ยมยุทธ ซึ่งนับว่าเหมาะกับผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนสามารถเข้าสู่ขั้นนี้ได้
ความจริงแล้วหากชียวิ๋นจื่อมุ่งเน้นการฝึกบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว โดยทิ้งเรื่องการฝึกฝนเพลงกระบี่ไป เชื่อว่าป่านนี้ เขาคงจะก้าวหน้าไปไกลกว่าขั้นจินตันแล้ว ชียวิ๋นจื่อไม่เพียงฝึกวรยุทธบ่มเพาะถึงขั้นจินตันแต่เพลงกระบี่ของเขานั้นยังมีพลังสังหารที่รุนแรงมากอีกด้วย และเป็นเพราะเขาไม่ยอมละทิ้งวิชากระบี่ของตนเอง ทำให้เขาต้องใช้เวลาในการฝึกบ่มเพาะพลังนานถึงหกสิบปี จึงจะสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้
และไม่ว่าผู้ใดจะแนะนำเช่นใดชียวิ๋นจื่อก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกเพลงกระบี่ของตนเอง ควบคู่ไปกับกับการฝึกบ่มเพาะพลัง
และเมื่อใดที่ชียวิ๋นจื่อสามารถฝึกเพลงกระบี่ควบคู่ไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังจนเข้าสู่ขั้นหยวนอิง (ปราณก่อนกำเนิด) ได้แล้วแล้วล่ะก็ เขาก็จะกลายเป็นมือกระบี่เซียน ที่ไม่ว่าจะท่องไปในแห่งหนใด ก็จะมีแต่ผู้ยำเกรง!
และด้วยความสำเร็จของชียวิ๋นจื่อในเวลานี้นี้ทุกคนในคุนหลุนที่มาจากสำนักกระบี่คุนหลุน ต่างก็พากันยกยอปอปั้น และต้องการที่จะผูกมิตรกับเขา ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก
แต่เวลานี้ในโลกภายนอกคุนหลุน กลับมีคนบังอาจกล่าวเหยียดหยามพลังบ่มเพาะในขั้นจินตัน อีกทั้งที่น่าสะเทือนใจไปมากกว่านั้นก็คือ ผู้ที่กล่าวเป็นเพียงแค่เด็กสาว ซึ่งมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำไป และมีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) เท่านั้น!
ในเมื่อถูกเหยียดหยามเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะทนได้
ฟิ้ว..
ลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของชียวิ๋นจื่อก่อนจะกลายเป็นกระบี่ขนาดหนึ่งฟุตที่มีรัศมีพลังแข็งแกร่งยิ่ง และเวลานี้ปลายกระบี่ก็จับจ้องไปทางร่างของหนิงหลิงยู่
“แม่นางถึงแม้เจ้าจะเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศยิ่ง แต่ข้าคงไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก!”
ริมฝีปากบางของหนิงหลิงยู่เผยอขึ้นเล็กน้อยแววตาทั้งคู่เย็นชาอย่างยิ่ง ในขณะที่เอ่ยตอบโต้ชียวิ๋นจื่อกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“ก็ต้องรอดูว่าท้ายที่สุดระหว่างเจ้ากับข้า ผู้ใดกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายถูกสังหาร!”
“แม่นางนับว่าเจ้าใจกล้าเข้าขั้นเสียสติแล้วจริงๆ! ก่อนที่เจ้าจะตาย ช่วยบอกข้าหน่อยจะได้หรือไม่ว่า อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใดกัน หากวันข้างหน้าข้าได้พบเจอเข้า จะได้บอกกับเขาได้ว่า ข้าได้สังหารเจ้าผู้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไปแล้ว!”
ความจริงแล้วผู้ที่ทำให้ชียวิ๋นจื่อรู้สึกกังวลใจนั้น หาใช่ตัวหนิงหลิงยู่เอง แต่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหากเล่า..
สำหรับเขาแล้วหนิงหลิงยู่เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี และมีพลังบ่มเพาะในขั้นจิ่วเฉิงชี่เท่านั้น ในขณะที่ตัวเขาเองอายุถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี อีกทั้งยังมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นจินตันอีกด้วย
ฉะนั้นแล้วการจะสังหารหนิงหลิงยู่ จึงเป็นเรื่องที่ง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร! แต่การที่ชียวิ๋นจื่อต้องกดข่มความโกรธภายในใจเพื่อเจรจากับหนิงหลิงยู่นั้น ก็เพราะเขาหวั่นเกรงผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหาก และหากเขาได้รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด อย่างน้อยเขาก็จะได้ตัดสินใจได้ถูกว่า จะลงมือกับหญิงสาวผู้นี้หนักหน่วงเพียงใด
แต่กลับกลายเป็นว่าคำตอบของหนิงหลิงยู่นั้น ได้สร้างความเดือดดาลให้กับชียวิ๋นจื่อมากกว่าเดิม..
“หึ!ก็แค่ยอดฝีมือขั้นจินตันตัวเล็กๆ เจ้ายังไม่คู่ควรที่จะได้รู้ฐานะที่แท้จริงของข้า!”
“แม่นางเจ้ากล่าวเช่นนี้เท่ากับรนหาที่ตายแล้ว!”
ชียวิ๋นจื่อใช้พลังเหนือธรรมชาติที่แก่กล้าของตนเองบังคับควบคุมกระบี่เหินสีแดงให้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
กระบี่เหินสีแดงพุ่งทะยานฝ่าเกราะป้องกันที่เป็นอมตะเข้าไปได้อย่างง่ายดายก่อนจะแทงทะลุผ่านดอกบัวทองคำอีกชั้น และท้ายที่สุด กระบี่เหินสีแดงก็พุ่งแทงเข้าที่ไหล่ขวาของหนิงหลิงยู่ได้รับบาดเจ็บ!
ตั้งแต่วินาทีที่กระบี่เหินสีแดงเริ่มเคลื่อนไหวจนกระทั่งแทงเข้าที่ไหล่ของหนิงหลิงยู่นั้น นางเองก็ได้แต่ยืนนิ่ง มิได้ตอบโต้ หรือต้านทานเลยแม้แต่น้อย
ด้วยระที่ประชิดตัวและความเร็วของกระบี่เหิน ทำให้โลหิตสีแดงของหนิงหลิงยู่พุ่งกระฉูดออกจากร่าง และกระจายไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า!
“แม่นางยังจะอวดดีอยู่อีกหรือไม่ หากข้าต้องการสังหารเจ้าจริงๆ คงจะไม่รอมาจนกระทั่งป่านนี้แน่! เวลานี้ ข้าเป็นผู้ควบคุมค่ายกลของสำนักกระบี่คุนหลุน ข้าสามารถฆ่าเจ้าด้วยค่ายกลสังหารได้อย่างง่ายดาย..”
เมื่อครู่ที่ชียวิ๋นจื่อลงมือกับหนิงหลิงยู่นั้นเป็นเพราะถูกคำพูดอวดดีของหญิงสาวกระตุ้นให้โกรธนั่นเอง แต่เวลานี้ สติของเขากลับคืนมาแล้ว จึงได้เอ่ยบอกหนิงหลิงยู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งเช่นเคย
“ความจริงแล้วข้าเองก็มิได้ต้องการทำให้เจ้าบาดเจ็บอะไร เพียงแต่เจ้านั้นวาจาสามหาวจนเกินไป!” ชียวิ๋นจื่อพูดต่อในทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้หนิงหลิงยู่ได้โต้แย้ง
“ข้าขอบอกกับเจ้าตามตรงในคุนหลุนนั้น ไม่เคยมียอดฝีมือในขั้นจิ่วเฉิงชี่ ที่สามารถสังหารผู้เยี่ยมยุทธในขั้นจินตันได้มาก่อน!”
นั่นเพราะจากขั้นพลังชี่ขึ้นไปสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานนั้น นับเป็นการก้าวกระโดดอย่างมากของความแข็งแกร่ง จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงจากขั้นก่อสร้างรากฐานเข้าสู่ขั้นจินตัน ซึ่งนับเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของผู้ฝึกบ่มเพาะพลังเลยทีเดียว!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยอดฝีมือในขั้นพลังชี่ จะสามารถสังหารยอดฝีมือในขั้นจินตันได้อย่างไรกันเล่า
เพราะหากผู้ที่อยู่เพียงแค่ขั้นพลังชี่แต่กลับสามารถสังหารผู้ที่อยู่ในขั้นจินตันได้แล้วล่ะก็ ขั้นพลังบ่มเพาะยังจะมีความหมายอันใดอีก
หนิงหลิงยู่เองก็มิได้ปฏิเสธในเรื่องนี้นางจึงได้เหาะหนีมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ และเวลานี้ ร่างของนางก็ได้ไปยืนอยู่เหนือผิวน้ำในผืนทะเลสาบใหญ่
เวลานี้บาดแผลที่ไหล่ข้างขวาซึ่งเกิดจากกระบี่เหินของชียวิ๋นจื่อนั้น โลหิตสีแดงยังคงไหลออกมาไม่หยุด จนผืนน้ำในทะเลสาบด้านล่าง ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว แต่หญิงสาวกลับไม่ใสใจ นางทำประหนึ่งว่าร่างกายนี้มิใช่ของนาง..
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง!”
“ข้าเองก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ที่อยู่ในขั้นพลังชี่ จะสามารถสังหารผู้ที่อยู่ในขั้นจินตันได้..”
หลังจากเอ่ยปากพูดไปแล้วหนิงหลิงยู่ก็เบะปากเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็จงดูให้ดี..”
วิชาคลื่นคงคา!
เวลานี้ผืนน้ำในทะเลสาบเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง! ทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่หลายกิโลเมตรเวลานี้ มวลน้ำทั้งหมดต่างก็หลั่งไหลไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหนิงหลิงยู่ และยกสูงขึ้นราวกับขุนเขาธาราที่สูงใหญ่!
เมื่อมวลน้ำจำนวนมหาศาลไหลไปรวมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหญิงสาวจึงเผยให้เห็นผืนดินเบื้องล่าง และสัตว์น้ำน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ที่กระโดดโลดเต้นไปมา และเวลานี้ มวลน้ำทั้งหมดก็ได้ยกร่างของหนิงหลิงยู่สูงขึ้นไปบนท้องนภามากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งมวลน้ำยกร่างของนางสูงขึ้นไปมากเพียงใดก็ยิ่งหมายถึงพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขึ้นของหญิงสาว!
พลังในขั้นก่อสร้างรากฐาน!
พลังในระดับสูงสุดขั้นก่อสร้างรากฐาน!
ในเวลาค่ำคืนยามนี้ผืนน้ำในทะเลสาบได้อันตรธานหายไป ปรากฏเป็นขุนเขาธาราสูงใหญ่ขึ้นมาแทน และเวลานี้ ร่างของหนิงหลิงยู่ก็ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาธาราสูงใหญ่นั้น หนิงหลิงยู่ใช้พลังแห่งวิชาคลื่นคงคาทะลวงผ่านขั้นพลังบ่มเพาะของตนเองได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอยู่ในระดับขั้นที่จะสามารถสังหารชียวิ๋นจื่อได้ นางจึงได้หยุดพัฒนาขั้นเพียงแค่นั้น!
“ข้าบอกว่าจะสังหารเจ้าแต่มิได้บอกว่าจะสังหารเจ้าในขั้นจิ่วเฉิงชี่!”
หนิงหลิงยู่แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวจากนั้น ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าก็ได้พุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของหญิงสาว ก่อนจะพุ่งผ่านทะลุไหล่ขวาของชียวิ๋นจื่อ และวกกลับมาเจาะทะลุเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอีกครั้ง ประหนึ่งว่ากำลังเย็บปักถักร้อยอยู่
หลังจากนั้นลำแสงสีขาวก็ได้พุ่งทะยานกลับไปหาหนิงหลิงยู่ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่กลางอากาศ..
หลังจากที่ชียวิ๋นจื่อแทงหนิงหลิงยู่ไปหนึ่งดาบนางจึงได้สนองกลับคืนเขาถึงสองดาบในคราวเดียว!
“หึ!แม้เจ้าจะเข้าสู่ขั้นจินตันแล้ว และมีพลังจู่โจมสังหารที่แกร่งกล้ายิ่งนัก แต่เกราะป้องกันของเจ้ากลับไม่เอาไหนเสียเลย!”
มีหรือที่ชียวิ๋นจื่อจะมิได้เดินลมปราณปกป้องร่างกายเอาไว้
แม้ว่าจะตกตะลึงกับวิธีการพัฒนาขั้นพลังของหนิงหลิงยู่แต่ขั้นจินตันก็คือขั้นจินตัน เมื่อใดที่เกิดอันตรายจวนตัวขึ้น พลังบ่มเพาะภายในร่างจะพวยพุ่งออกมาเป็นเกราะป้องการร่างกายได้เอง..
แต่ถึงกระนั้นชียวิ๋นจื่อก็มิได้ใส่ใจกับบาดแผลที่เกิดจากกระบี่เหินของหนิงหลิงยู่มากนัก เพราะมีสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากกว่านั้นอยู่
“ที่ข้าไม่ทันได้ระวังตัวนั้นก็เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับกระบี่เหินของเจ้าต่างหาก คิดไม่ถึงจริงๆว่า กระบี่เหินของเจ้าจะเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเต๋า!”
เป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำร้ายยอดฝีมือขั้นจินตันด้วยกระบี่เหินซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ระดับสมบัติได้ ด้วยเหตุนี้ ชียวิ๋นจื่อจึงมั่นใจว่ากระบี่เหินของหญิงสาวนั้น น่าจะต้องเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเต๋าขึ้นไป!
“กระบี่นี่หลอมกลั่นด้วยพลังอมตะย่อมต้องเป็นสมบัติระดับเต๋าอยู่แล้ว คงจะดึงดูดสายตาเจ้ามากสินะ”
หนิงหลิงยู่หรี่ตาลงจ้องมองชียวิ๋นจื่อพร้อมกับกล่าวต่อทันที “ก่อนหน้านี้เจ้ามีโอกาสแต่ไม่สังหารข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง..”
แม้ชียวิ๋นจื่อจะได้รับบาดเจ็บแต่เขาก็มิได้ตื่นตระหนกตกใจอะไร และยังคงยืนจ้องมองหญิงสาวผู้สร้างขุนเขาธาราลูกใหญ่นี้ ด้วยแววตาสงบนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะร้องบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าแล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปคุนหลุน นับจากนี้ไป เส้นทางการบ่มเพาะพลังของเจ้า จะก้าวหน้ายิ่งกว่านี้มาก!”
หนิงหลิงยู่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนยอดขุนเขาธาราด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นกันและกำลังจ้องมองชียวิ๋นจื่อที่อยู่เบื้องล่าง ราวกับจักรพรรดินีผู้กำลังมองพสกนิกรเบื้องล่าง
ท่วงท่าสง่างามและน่าเกรงขามของหนิงหลิงยู่ ทำให้ฉียวิ๋นจื่อถึงกับตกตะลึง และอดที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“นี่เจ้า..เจ้ามาจากที่ใดกันแน่”
หนิงหลิงยู่แสยะยิ้มพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า เจ้าไม่คู่ควรที่จะล่วงรู้!”
เป็นความจริงที่ว่ามิเคยมียอดฝีมือในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ ที่สามารถสังหารยอดฝีมือขั้นจินตันได้ แต่มียอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานไม่น้อย ที่สามารถสังหารยอดฝีมือขั้นจินตันได้!
และแน่นอนว่าหนิงหลิงยู่ก็จะต้องเป็นหนึ่งในนั้น!
หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดชียวิ๋นจื่อก็ได้สะบัดหน้าหันไปทางซ้าย พร้อมกับร่างที่อันตรธานหายไปในทันที และเพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของเขาก็กลับไปอยู่ที่ค่ายกลปราการของสำนักกระบี่คุนหลุนแล้ว..
หนิงหลิงยู่ยิ้มเย็นแต่ยังไม่รีบร้อนที่จะไล่ตามไปนัก เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้ ก็จะมิมีผู้ใดที่อยู่ภายในสำนักกระบี่คุนหลุน หนีรอดไปได้อีกแม้แต่คนเดียว..
หญิงสาวนั่งขัดสมาธิลงบนยอดขุนเขาธาราเพียงลำพังนางใช้พลังเหนือธรรมชาติยกท่อนไม้แห้งตายขึ้นมาบนอากาศ จากนั้น แขนทั้งสองข้างก็เริ่มขยับไปมาเล็กน้อย
ไม่นานนักท่อนไม้แห้งตายนั้นก็พลันกลับกลายมีชีวิตขึ้นมาทันที ลำต้นสีน้ำตาลเแห้งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตามมาด้วยกิ่งก้านที่แตกออกมา ท้ายที่สุดก็มีใบเขียวชะอุ่มปรากฏให้เห็น
จากท่อนไม้ไร้ชีวิตพลันแตกกิ่งก้านใบเป็นสีเขียวสดใส และสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้ด้วยตาเปล่า..
ผู้ที่ฝึกวิชาพฤกษาขจีถึงขั้นนี้จะสามารถฟื้นคืนชีพให้กับต้นไม้ใบหญ้าที่ตายไปแล้วได้! “ช่างเป็นวิชาที่น่าอัศจรรย์และล้ำเลิศยิ่งนัก!”
หนิงหลิงยู่พึมพำออกมาก่อนจะโยนไม้คืนชีพนั้นกลับลงสู่ผืนดินตามเดิม จากนั้นจึงได้ใช้วิชาคลื่นคงคาควบคุมให้ขุนเขาธาราพังครืนลง
เสียงมวลน้ำมหาศาลยุบตัวลงอย่างกะทันหันฟังดูราวกับแผ่นดินถล่ม จากนั้น มวลน้ำที่ยุบตัวลงก็ได้หลั่งไหลกลับสู่ตำแหน่งแห่งหนเดิม การกระทำของหนิงหลิงยู่ในครั้งนี้ ได้ทำให้สัตว์น้ำน้อยใหญ่ตายไปมากมายนับไม่ถ้วน แต่นางก็หาได้สนใจใยดีไม่ ตรงกันข้าม นางกลับมีความสุขอย่างมาก
เวลานี้พลังอมตะสีม่วงรอบตัวของหนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะพลังอมตะเหล่านั้น ได้ถูกดูดซับกลับเข้าไปภายในร่าง เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกายเนื้อของนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร