บทที่ 1645 : ผู้มาใหม่
หลังเหาะออกมาจากทะเลสาบได้ชียวิ๋นจื่อก็มุ่งหน้าไปยังสำนักกระบี่คุนหลุนด้วยความเร็วสูงสุด และแทบไม่ต้องรอให้หลี่เจี้ยนกังเปิดค่ายกลให้ เขาจัดการเปิดค่ายกลเอง และเหาะเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์ปู่ท่านกลับมาแล้วรึ”
“ฮ่าๆๆท่านอาจารย์ชียวิ๋นจื่อกลับมากว่าที่คิดไว้มาก ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!”
“ท่านอาจารย์ชียวิ๋นจื่อสมกับเป็นผู้เยี่ยมยุทธในขั้นจินตันจริงๆ!”
“นั่นน่ะสิ!ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ชียวิ๋นจื่อ การจะสังหารนางมารในขั้นจิ่วเฉิงชี่ ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายนัก!”
“ดูท่าร่างของนางมารผู้นั้นคงจะถูกทำลายย่อยยับจนไม่เหลือสินะ!”
“เอ๊ะนั่น..เหตุใดที่ไหล่ทั้งสองข้างของท่านอาจารย์ชียวิ๋นจื่อ จึงได้มีโลหิตไหลออกมาเช่นนั้น”
“จริงด้วย!ดูเหมือนอาวุโสจะได้รับบาดเจ็บ..”
“อาจารย์ปู่นี่ท่านได้รับบาดเจ็บมางั้นรึ”
หลังจากที่ชียวิ๋นจื่อเหาะลงมายืนอยู่ตรงหน้าหลี่เจี้ยนกังก็ถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ สีหน้าของเขานั้นบ่งบอกว่า ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
เวลานี้ภายในสำนักกระบี่คุนหลุน กลับกลายเป็นเงียบสงัด และแทบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ..
“เจ้าถอยออกไป!”
ชียวิ๋นจื่อตวาดหลี่เจี้ยนกังเสียงดังพร้อมกับผลักร่างของเขาจนกระเด็นออกไป
จิตใจของชียวิ๋นจื่อในขั้นจินตันนั้นต้องบอกว่าหนักแน่นไม่หวั่นไหวได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงผู้คนชื่นชมก่อนหน้านี้ หรือกระทั่งอาการบาดเจ็บของตนเอง ก็ล้วนแล้วแต่มิได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาแม้แต่น้อย เวลานี้ชียวิ๋นจื่อยืนถือกระบี่ทองคำไว้ในมือ พร้อมกับสร้างค่ายกลปราการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันนั้น ก็ได้แต่ร้องบอกทุกคนที่อยู่ด้านในว่า
“พวกเจ้าจงฟังข้าให้ดีเวลานี้นางมารได้เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานแล้ว..”
“ห๊ะ!!”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชียวิ๋นจื่อทุกคนในที่นั้นต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง!
ภายในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆแต่นางมารกลับสามารถทะลวงขั้นพลังได้อย่างนั้นรึ
การทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานสามารถทำได้ง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ
มิใช่ต้องมีโอสถล้ำเลิศอีกทั้งต้องเก็บตัวฝึกฝนบ่มเพาะพลังเป็นเวลาสองสามเดือนเป็นอย่างน้อยหรอกหรือ
เหตุใดการทะลวงขั้นพลังจึงสามารถทำได้ในระหว่างที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูในขั้นจินตันด้วย
เวลานี้ทุกคนต่างก็มีคำถามมากมายอยู่ในหัว เพราะเรื่องที่ชียวิ๋นจื่อบอกกับทุกคนนั้น เป็นเรื่องที่ยากจะทำใจให้เชื่อได้..
“นางมารมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!แม้แต่ข้าเองยังไม่สามารถสังหารนางได้ ตรงกันข้าม หากข้าประมาท ก็คงจะถูกนางมารนั่นสังหารตายไปแล้ว!”
ดูเหมือนชียวิ๋นจื่อจะเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยตรงไปตรงมาอย่างมากเขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดไปตามความจริง โดยไม่คิดที่จะปกปิดเพื่อรักษาหน้าตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้ตัดสินใจเหาะกลับมาที่นี่ก่อน และจะเป็นผู้ควบคุมค่ายกลปราการนี้เอง พวกเราทั้งหมดคงจะต้องหลบอยู่ภายในปราการไปก่อน จนกว่านางมารจะยอมล่าถอยไปเอง..”
“น้อมรับคำสั่งอาวุโส..”
หลังจากได้ฟังคำสั่งของชียวิ๋นจื่อทุกคนในที่นั้นต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน และเวลานี้ ทั้งหมดก็เริ่มสงบลงมากขึ้น
ชียวิ๋นจื่อไม่สนใจยอดฝีมือรอบตัวเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะทั้งหมดนี้ ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถแบ่งเบาภาระของตนได้ นอกจากเป็นภาระให้ตนเองต้องปกป้อง เขาจึงได้หันไปเอ่ยกับยอดฝีมือทั้งสองจากคุนหลุนแทน
“พวกท่านทั้งสองจงฟังให้ดี!จุดประสงค์ของนางมารนั้น หาใช่เพราะต้องการทำลายสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุน แต่ทั้งหมดที่นางทำไป ก็เพียงเพราะความสนุกสนานเท่านั้น นางเข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกเพราะต้องการบีบให้คนของคุนหลุนปรากฏตัว นางจะได้หาทางเข้าคุนหลุนเพื่อประโยชน์บางอย่างสำหรับตัวนางเอง..”
หวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนถึงกับนิ่งไปด้วยความตกตะลึงผ่านมานับร้อยๆปี ทั้งคู่ก็เพิ่งเคยได้เผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้
“พวกท่านสองคนต้องพยายามหาหนทางรายงานเรื่องนี้กลับไปที่คุนหลุนให้ได้นี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก!”
หลังจากที่ชียวิ๋นจื่อกล่าวจบหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนต่างก็หันไปมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเลย!”
“ช้าก่อน!”
ทันทีที่ทั้งยอดฝีมือจากคุนหลุนทั้งสองกำลังจะเหาะออกไปชียวิ๋นจื่อก็ได้รีบร้องห้ามไว้ก่อน พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และกำชับว่า
“เวลานี้นางมารผู้นั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากหากเจ้าเหาะไปทางนี้นางมารจะต้องสงสัยเป็นแน่ ทางที่ดีเจ้าควรเหาะไปทางตรงกันข้ามเสียก่อน รอจนกระทั่งนางมารนั่นบุกโจมตีค่ายกลปราการนี้เมื่อใด เจ้าจึงค่อยหาหนทางหนีกลับไปคุนหลุน..”
“ยังมีอีกเรื่อง..”
แต่ครั้งนี้ชียวิ๋นจื่อใช้วิธีสื่อสารผ่านทางจิต–นางมารผู้นี้คล้ายเป็นเซียนมาจุติ! พวกท่านทั้งสองอย่าลืมรายงานเรื่องสำคัญนี้ให้คุนหลุนรู้ด้วย–
หลังจากได้ฟังหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนต่างก็หันไปมองหน้ากันทันที ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่..
“อาวุโสโปรดรักษาเนื้อรักษาตัวด้วยพวกเราขออำลาไปก่อน!”
ยอดฝีมือคุนหลุนทั้งสองโน้มศรีษะลงคำนับชียวิ๋นจื่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะเหาะออกไปยังทิศทางที่เขาแนะนำ
หลังจากหวังคุนหลุนและจ้าวคุนหลุนจากไปแล้วชียวิ๋นจื่อจึงได้นั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มเดินพลังปราณในขั้นจินตันรักษาบาดแผลที่ไหล่ทั้งสองข้าง พร้อมกับกลืนโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ
จากนั้นจึงเริ่มสร้างความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลปราการต่อ ในขณะเดียวกัน ก็เรียกกระบี่เหินออกมาเตรียมพร้อม เขามั่นใจว่า ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งของตนเวลานี้ จะสามารถควบคุมกระบี่เหินได้ในระยะกว่าร้อยกิโลเมตรทีเดียว
เวลานี้แม้ตัวของชียวิ๋นจื่อจะอยู่ภายในค่ายกลปรากการ แต่หนิงหลิงยู่นั้นก็ยังอยู่ในรัศมีการรับรู้ของเขาโดยตลอด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ชียวิ๋นจื่อยังไม่รู้ว่า ตนเองควรจะหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี เพราะแค่ประมือกับหญิงสาวเพียงยกแรก เขากลับเป็นฝ่ายต้องถอยหนี หากให้ผู้ใดล่วงรู้เข้า เขาคงต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่เขาไม่ถูกนางมารนั่นสังหารตายไปเสียก่อน!
ยอดฝีมือขั้นจินตันกลับรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ไม่ถูกหญิงสาวในขั้นก่อสร้างรากฐานสังหารตายอย่างนั้นหรือ
แต่ถึงอย่างนั้นชียวิ๋นจื่อก็มิได้ใส่ใจอะไรนัก เขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยจิตใจที่สงบ นั่นเพราะเขาเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ขั้นพลังบ่มเพาะ กับความแข็งแกร่งแท้จริงนั้น สองสิ่งนี้ล้วนเป็นคนละเรื่องกัน.. หากคู่ต่อสู้ของเขาที่อยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่แต่กลับสามารถรับมือกับกระบี่เหินของเขาได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เมื่อคนผู้นั้นเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน จะสามารถสังหารตนเองได้!
อีกทั้งอาวุธของนางมารก็เป็นถึงยุทธภัณฑ์ระดับเต๋าซึ่งสามารถทำลายเกราะป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่นางมารผู้นี้จะไม่สามารถสังหารเขาได้..
ชียวิ๋นจื่อรู้ดีว่าที่นางมารเมตตาไม่สังหารเขาในทันทีนั้น ก็เพราะเขามิได้ตั้งใจสังหารนางในคราแรกแม้จะมีโอกาส นางจึงได้ไว้ชีวิตเขาก่อน..
แต่ว่า..หลังจากนี้เล่า
เวลานี้เขาเองเป็นผู้ควบคุมค่ายกลปราการ หลังจากนี้ไป ทั้งเขาและนางคงต้องประมือกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น!
หลังจากที่คิดมาถึงตรงนี้ชียวิ๋นจื่้อก็ถึงกับขนหัวลุก และเริ่มปวดศรีษะอีกครั้ง แต่ดูเหมือนชียวิ๋นจื่อจะไม่ต้องทนครุ่นคิดอีกต่อไป เพราะเวลานี้ หนิงหลิงยู่ได้เหาะออกมาจากทะเลสาบแล้ว
หนิงหลิงยู่กางแขนทั้งสองข้างออกพร้อมกับเดินอยู่บนท้องนภาอย่างเชื่องช้า ท่าทางของนางนั้น ประหนึ่งเทพธิดาที่กำลังเหาะลงมาจากสรวงสวรรค์ เพื่อสำรวจดูโลกใบนี้
ช่างเป็นภาพที่งดงามอย่างน่าอัศจรรย์!
ในแต่ละย่างก้าวของหนิงหลิงยู่นั้นร่างกายของนางได้ดูดเอาพลังชีวิต ที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับผืนปฐพีเบื้องล่างในระยะกว่าห้าสิบกิโลเมตรเข้าไป และเวลานี้ พลังชีวิตเหล่านั้นก็ได้ก่อตัวเป็นรัศมีวงกลมขนาดใหญ่รายล้อมร่างของหญิงสาวอยู่ เพียงแค่รอว่านางจะนำพลังชีวิตเหล่านี้ไปทำสิ่งใดเท่านั้นช
ชียวิ๋นจื่อเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก..
“หากนางสามารถเข้าคุนหลุนได้แล้วล่ะก็..” แต่คิดได้เพียงเท่านั้นชียวิ๋นจื่อก็รีบหยุดคิดทันที เขาไม่กล้าที่จะจินตนาการต่อไปอีก..
หนิงหลิงยู่ก้าวเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ ดูเหมือนนางจะหยุดเล่นสนุกแล้ว และเพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างงดงามประหนึ่งเทพธิดา ก็ได้มาปรากฏอยู่ด้านนอกค่ายกลปราการ
แต่แทนที่จะบุกจู่โจมทำลายปราการในทันทีนางกลับเอ่ยบอกชียวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ชียวิ๋นจื่อปราการนี่มิอาจต้านทานข้าได้นานนัก ทางที่ดี เจ้าเปิดค่ายกลนี่ออก ให้ข้าเข้าไปแต่โดยดีเถิด!”
ทุกคนที่อยู่ในค่ายกลปราการต่างก็ตกตะลึงและมีสีหน้าหวาดผวา หลายคนต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิกลัก!
แย้มยิ้มรึนางยิ้มเป็นครั้งแรก!
เท่าที่เจ้าสำนักต่างๆประสบมานั้นเมื่อหนิงหลิงยู่บุกมาถึง พวกเขาต่างก็พบเห็นเพียงใบหน้าเฉยเมย และแววตาเย็นชา ก่อนจะลงมือเข่นฆ่าทุกคนโดยไม่พูดอะไร..
แต่เวลานี้ไม่เพียงนางจะแย้มยิ้ม แต่ยังเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาให้ทุกคนประหลาดใจ ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว!
ทำให้เวลานี้หญิงสาวดูไม่ต่างจากเทพธิดาผู้งดงาม!
หลังจากที่ได้เห็นรอยยิ้มดั่งเทพธิดาทุกคนได้แต่เฝ้ามองด้วยความตกตะลึง จนกระทั่งลืมสิ่งที่นางกระทำมาก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น
แม้กระทั่งชียวิ๋นจื่อเองก็ยังงุนงงสงสัยและได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า การทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน ทำให้จิตใจของนางเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“แม่นางใช่ว่าข้าต้องการเป็นปรปักษ์กับเจ้า แต่ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องดูแลค่ายกลแห่งนี้ ข้าไม่สามารถเปิดให้เจ้าเข้ามาได้จริงๆ!” ชียวิ๋นจื่อปฏิเสธที่จะทำตามคำขอของหนิงหลิงยู่และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้เอ่ยบอกหญิงสาวไปว่า
“แม่นาง..เจ้านั้นงดงามดั่งเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ เบื้องบนมิได้ขาดแคลนทรัพยากรในการฝึกฝน เหตุใดยังต้องลดตัวลงมาเช่นนี้ ไม่อยู่เสพสุขในที่ดีๆของตนเล่า”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชียวิ๋นจื่อทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันยกนิ้วให้ แต่หนิงหลิงยู่กลับหัวเราะออกมา พร้อมกับจ้องมองทุกคนที่อยู่ภายในค่ายกลด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะฟาดฝ่ามือเข้าใส่ปราการสีทองที่หน้ากว่าสองนิ้วในเวลานี้!
ปัง!
ค่ายกลปราการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
ในขณะเดียวกันเรียวแขนงดงามบอบบางนั้น ก็ยกขึ้นชี้หน้าชียวิ๋นจื่อพร้อมกับร้องคำรามออกมาเสียงดัง
“เจ้าจะเปิดดีๆหรือไม่” “แม่นางข้าเปิดให้เจ้าเข้ามาไม่ได้จริงๆ!”
ชียวิ๋นจื่อส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่นาง อย่าได้ใช้กำลังบุกเข้ามาอีกเลย หากเจ้าสามารถทำลายค่ายกลปราการที่แข็งแกร่งนี้ได้ ข้าก็คงต้องใช้ค่ายกลสังหารจัดการกับเจ้า อย่าบีบให้ข้าต้องทำเช่นนั้นเลย..”
หนิงหลิงยู่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอวพร้อมกับร้องคำรามออกไปด้วยความโมโห “หึ! ยิ่งเจ้าเปิดค่ายกลสังหารเมื่อใด ก็ยิ่งทำให้ข้าได้รับพลังชีวิตเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในเมื่อเจ้าไม่เปิด ก็ดูให้เห็นกับตาว่า ข้าจะทำลายปราการนี้ได้อย่างไร”
ทุกคนในที่นั้นต่างก็จ้องมองชียวิ๋นจื่อแน่นิ่งบางคนถึงกับหวาดกลัวจนทนไม่ได้ ต้องร้องบอกชียวิ๋นจื่อไปว่า
“อาวุโส..ดูเหมือนนางมารผู้นี้จะเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ข้าว่า.. พวกเราเปลี่ยนมาเป็นเจรจากับนางจะดีหรือ..”
“เจ้าหลีกไปให้พ้น!” ชียวิ๋นจื่อไม่รอให้เจ้าสำนักผู้นั้นกล่าวจบเขาหันไปตวาดพร้อมกับฟาดฝ่ามือใส่ จนร่างของเขากระเด็นลอยออกไปไกลกว่าร้อยเมตร
จากนั้นชียวิ๋นจื่อก็ได้โบกสะบัดกระบี่ทองคำในมือไปมา แล้วค่ายกลสังหารก็เปิดทำงานขึ้นทันที
ท่ามกลางห้วงอากาศโดยรอบกระบี่สีทองขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากผืนดิน และกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่
หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงรีบเหาะถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็วแล้วดอกบัวทองคำทั้งแปดสิบเอ็ดดอก ก็ปรากฏขึ้นรายล้อมร่างของนางไว้
ฟิ้ว..
ลำแสงสีขาวพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของหนิงหลิงยู่!
และเวลานี้ทั้งอาวุธสำหรับจู่โจมคู่ต่อสู้ และเกราะสำหรับป้องกันตัวเองของหนิงหลิงยู่ ก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน.. แต่ในเวลานั้นเองทุกคนในที่นั้นต่างก็เห็นว่า จู่ๆ บนท้องนภานั้น ก็มีร่างของใครอีกคนปรากฏขึ้น
ผู้ที่มาถึงใหม่นั้นมีใบหน้าหล่อเหลายิ่งและรอยยิ้มจางๆที่ปรากฏนั้น ก็เผยให้เห็นลักยิ้มแก้มซ้ายที่บุ๋มลงไปได้อย่างชัดเจน!
และทันที่ปรากฏตัวขึ้นชายหนุ่มผู้นั้นก็เหาะตรงเข้ามาหนิงหลิงยู่อย่างรวดเร็ว และเวลานี้ ทั้งคู่ก็ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ในห้วงอากาศ
หลี่เจี้ยนกังที่อยู่ภายในค่ายกลปราการถึงกับร้องอุทานออกมาด้วความตกใจ
“หลิงหยุน!”
หลังจากที่ได้เห็นหลิงหยุนปรากฏกายความเจ็บปวดใจในอดีตก็พลันพวยพุ่งขึ้นภายในใจ เขาได้แต่แอบคิดในใจว่า ตนเองน่าจะคาดเดาตั้งแต่แรกว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหนิงหลิงยู่ก็คือหลิงหยุนนั่นเอง!
ช่างน่าขันที่เขากลับเชื่อคำพูดของหญิงสาวว่า เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนไม่!
หลังจากนั้นหลี่เจี้ยนกังก็ได้ยินหลิงหยุนเอ่ยกับผู้เป็นน้องสาวด้วยน้ำเสียงติดตลก
“น้องพี่!เจ้าหนีมาเล่นสนุกเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่บอกข้าด้วยเล่า เอาล่ะ พวกเราลงมือได้เลย!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้ถามต่อว่า “เพียงแค่ปราการกระจอกๆ เจ้ายังต้องใช้กำลังอะไรอีกงั้นรึ”
“เจ้าดูข้าให้ดี..”
ทันทีที่กล่าวกับหนิงหลิงยู่จบร่างของหลิงหยุนก็หายไปในพริบตา และไปปรากฏตัวอีกครั้งภายในค่ายกลปราการแห่งนั้น
“ห๊ะ!”
ชียวิ๋นจื่อถึงกับกระโดดถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัวเขาไม่นึกไม่ฝันว่า นางมารที่น่าสะพรึงกลัวยังไม่ทันจะจากไป ก็มีเจ้าแห่งมารปรากฏตัวขึ้นอีกคน!
มิหนำซ้ำยังสามารถเข้ามาภายในค่ายกลปราการ ที่ตนเองควบคุมอยู่ได้อย่างง่ายดายด้วย!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร