Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1646

บทที่ 1646 : การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว
  จะไม่ไห้ชียวิ๋นจื่อตกใจกลัวได้อย่างไรกันเล่า
  ในเมื่อเวลานี้เขาคือผู้ที่ควบคุมค่ายกลปราการอยู่และค่ายกลปราการภายใต้การบังคับบัญชาของเขานั้น ก็ย่อมแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ใดจะสามารถฝ่าเข้ามาได้ง่ายๆ และหากไม่ใช่เพราะเขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้วล่ะก็ เขาจะไม่เชื่อเลย และต้องคิดว่านี่เป็นเรื่องหยอกล้อขำขันกันเล่นเท่านั้น!
  “นี่เจ้า!เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงสามารถเข้ามาในค่ายกลปราการของข้าได้ง่ายดายเช่นนี้?”
  ชียวิ๋นจื่อร้องตะโกนถามออกไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวและตกอกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะหากอีกฝ่ายสามารถเข้ามาด้านในได้เช่นนี้ เขาก็คงจะต้องถูกสังหารตายอย่างแน่นอน!
  แต่อีกฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก..
  “นี่เจ้าหูหนวกหรืออย่างไรกัน”
  หลิงหยุนปรายตามองชียวิ๋นจื่อพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางหนิงหลิงยู่ ปากก็ร้องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน
  “ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นพี่ชายของนาง!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางหลี่เจี้ยนกัง พร้อมกับทักทายและแนะนำตัว “ท่านเจ้าสำนักหลี่.. ข้าหลิงหยุนอย่างไรเล่า”
  หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้หันพูดกับชียวิ๋นจื่อว่า “เจ้าได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่”
  ภายในค่ายกลกลับกลายเป็นเงียบสงัดขึ้นมาทันที..
  ดุดัน!
  น่าเกรงขาม!
  ต่อหน้ามือกระบี่ขั้นจินตันแต่หลิงหยุนกลับตวาดอย่างไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังด่าว่าเขาหูหนวกอีก! เช่นนี้แล้วจะไม่น่าเกรงขามได้อย่างไรกันเล่า  “นี่เจ้าเป็นพี่ชายของแม่นางหรอกรึ”
  ชียวิ๋นจื่อพึมพำออกมาพร้อมกับหันมองออกไปทางหนิงหลิงยู่ที่อยู่ด้านนอก แล้วจึงกลับมามองหลิงหยุนอีกครั้ง และแล้ว เขาก็ถึงกับใจสั่นรุนแรง
  ชียวิ๋นจื่อกำกระบี่ในมือแน่นจนฝ่ามือข้างนั้นซีดขาว เขารู้ชะตากรรมของตนเองดี ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายสามารถฝ่าค่ายกลปราการเข้ามาได้อย่างง่ายดายแล้ว
  ชียวิ๋นจื่อได้แต่คิดในใจว่า‘น้องสาวก็มองเห็นขั้นจินตันไม่อยู่ในสายตา ในขณะที่พี่ชายก็สามารถทะลวงค่ายกลปราการเข้ามาได้อย่างง่ายดาย..’
  ไม่เพียงเท่านั้นทันทีที่หลิงหยุนเข้ามาด้านใน เขาก็ทำราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนภายในบ้าน สีหน้าท่าทางของเขาผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ไม่มีวี่แววของความกังวลใจปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
  แต่สิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือชียวิ๋นจื่อไม่สามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของหลิง  “นี่เจ้าเป็นพี่ชายของแม่นางหรอกรึ”
  ชียวิ๋นจื่อพึมพำออกมาพร้อมกับหันมองออกไปทางหนิงหลิงยู่ที่อยู่ด้านนอก แล้วจึงกลับมามองหลิงหยุนอีกครั้ง และแล้ว เขาก็ถึงกับใจสั่นรุนแรง
  ชียวิ๋นจื่อกำกระบี่ในมือแน่นจนฝ่ามือข้างนั้นซีดขาว เขารู้ชะตากรรมของตนเองดี ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายสามารถฝ่าค่ายกลปราการเข้ามาได้อย่างง่ายดายแล้ว
  ชียวิ๋นจื่อได้แต่คิดในใจว่า‘น้องสาวก็มองเห็นขั้นจินตันไม่อยู่ในสายตา ในขณะที่พี่ชายก็สามารถทะลวงค่ายกลปราการเข้ามาได้อย่างง่ายดาย..’
  ไม่เพียงเท่านั้นทันทีที่หลิงหยุนเข้ามาด้านใน เขาก็ทำราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนภายในบ้าน สีหน้าท่าทางของเขาผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ไม่มีวี่แววของความกังวลใจปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
  แต่สิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือชียวิ๋นจื่อไม่สามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของหลิงหยุน!
  เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน
  นั่นเพราะกระทั่งหนิงหลิงยู่ซึ่งเวลานี้เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วเขายังสามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของนางได้อย่างชัดเจน
  แต่เหตุใดเมื่อหลิงหยุนปรากฏตัวแม้เขาจะเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกขั้นสุดแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของเขาได้..
  “อ่อ..ข้าเกือบจะลืมบอกเจ้าไปว่า ผู้อารักขาประตูคุนหลุนทั้งสองคนที่หลบหนีออกไปก่อนหน้า ถูกข้าจับตัวไว้แล้ว เวลานี้ ทั้งคู่ถูกทิ้งไว้ที่ริมลำธารแห่งหนึ่งห่างจากที่นี่ไปราวหนึ่งร้อยกิโลเมตร หลังจากนี้ เจ้าอย่าลืมไปหาตัวพวกเขาสองคนล่ะ..”
  หลิงหยุนหันไปบอกกับชียวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..
  มีหรือที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยให้ยอดฝีมือคุนหลุนทั้งสองคนหนีกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้คุนหลุนรู้ได้
  เวลานี้หากแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธในขั้นจินตันยังไม่สามารถสะสางปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หากคุนหลุนได้รับรายงานเข้า ย่อมต้องส่งผู้ที่มีพลังบ่มเพาะในขั้นหยวนอิงมาแน่ และหากมิได้ส่งมาคนเดียว แต่ส่งมาพร้อมกันหลายคนเล่า เหตุการณ์จะยิ่งไม่วุ่นวายมากไปกว่านี้หรอกหรือ
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงยอมเสียเวลาเล็กน้อย ไปจัดการกับผู้อารักขาประตูคุนหลุนทั้งสองคน ให้หลับไหลไปชั่วครู่ก่อน..
  “นี่เจ้า..”
  ชียวิ๋นจื่อถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะนั่นเป็นเพียงความหวังเดียวของเขา แต่เวลานี้ ความหวังเดียวนั้นกลับถูกหลิงหยุนทำลายลงจนสิ้น!
  เวลานี้ชียวิ๋นจื่อเปรียบเสมือนหญิงชราที่กำลังยืนอยู่กลางสะพานด้านหน้าคือสุนัขจิ้งจอกดุร้าย และด้านหลังก็มีพยัคฆ์รอขย้ำอยู่ หมดสิ้นหนทางที่จะไป จะเดินหน้าต่อไปก็ไม่ได้ แต่จะถอยหลังกลับก็ไม่ได้อีกเช่นกัน!
  หญิงชรากลางสะพานคงทำได้เพียงแค่เป็นลมล้มฟุบไปเท่านั้น!
  หลิงหยุนไม่สนใจชียวิ๋นจื่ออีกเขาก้าวเท้าออกไปข้างหน้าสองก้าว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหนิงหลิงยู่ พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า
  “หลิงยู่เจ้าประมาทเลินเล่อไปแล้วรู้หรือไม่ กระทั่งยอดฝีมือสองคนหนีไปได้ เจ้ายังไม่รู้เลย!”
  หนิงหลิงยู่ตอบกลับยิ้มๆ“หนีไปได้แล้วอย่างไร ต่อให้พวกมันหนีไปได้ ก็ไม่สามารถกลับเข้าคุนหลุนได้!”
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นน้องสาวไปว่า “นี่เจ้าเองก็รู้หรอกรึ ข้าจับพวกมันสองคนได้เช่นนี้ เจ้าคงหมดสนุกแล้วสินะ?”
  “สนุกสิ!สนุกมากเลย!”
  หนิงหลิงยู่ร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับปรบมือด้วยความดีอกดีใจจากนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
  “นี่ท่านเข้าไปในค่ายกลปราการได้อย่างไรกัน”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่าว่า ก็แค่ค่ายกลกระจอกๆ หาได้อยู่ในสายตาของข้าไม่!”
  “เอาล่ะข้าจะแสดงให้เจ้าดูอีกครั้ง!”
  หนิงหลิงยู่ถึงกับอ้าปากค้างและทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง..
  “ยังไม่เชื่ออีกงั้นรึเช่นนั้นเจ้าดูให้ดี..”
  หลิงหยุนเข้าๆออกๆค่ายกลปราการได้อย่างง่ายดาย..
  “นี่มัน..”
  นอกจากหนิงหลิงยู่แล้วทั้งชียวิ๋นจื่อ และทุกคนที่อยู่ภายในค่ายกล ต่างก็ได้แต่ยืนตกตะลึง สีหน้าบ่งบอกถึงความงุนงง ที่เห็นหลิงหยุนเข้าออกค่ายกลปราการได้ ราวกับมิมีสิ่งใดขวางกั้น!
  ชียวิ๋นจื่อได้ยืนนิ่งเงียบแต่ภายในใจนั้นเดือดพล่านราวกับจะคลุ้มคลั่ง เขากำกระบี่ทองคำไว้แน่น และได้แต่คิดว่า มันยังจำเป็นสำหรับเขาอยู่อีกหรือไม่
  หลังจากออกไปจากค่ายกลปราการแล้วหลิงหยุนก็ได้เหาะไปหาหนิงหลิงยู่ พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างของตนเองออกไปด้านหน้า จากนั้นจึงบอกกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
  “เจ้าต้องการให้ข้าพาเจ้าเข้าไปด้านในหรือไม่หากต้องการ ก็จับมือทั้งสองข้างของข้าไว้สิ..”
  แต่หนิงหลิงยู่กลับยิ้มให้พร้อมกับถอยหลังหนีให้ห่างจากหลิงหยุนทันที หญิงสาวส่ายหน้าไปมา และตอบกลับไปว่า
  “ข้าไม่ต้องการ..”
  หลิงหยุนดึงมือกลับและแสร้งทำสีหน้าท่าทางเสียดาย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. น่าเสียดายที่เจ้าไม่ต้องการ เรื่องนี้ออกจะสนุกมากทีเดียว!”   หนิงหลิงยู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบใบหน้าของตนเองพร้อมกับทำสีหน้าเหนื่อยล้า ก่อนจะเอ่ยบอกหลิงหยุนไปว่า
  “เวลานี้ข้ารู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก! ท่านช่วยข้าสังหารคนเหล่านั้นจะได้หรือไม่ พวกมันบังอาจไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า!”
  หลิงหยุนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “การเข่นฆ่าผู้คนหาใช่เรื่องสนุกสำหรับข้า! หลิงยู่ เจ้าเองก็ออกมาเที่ยวเล่นนานแล้ว เวลานี้ ท่านแม่เป็นห่วงแล้วก็คิดถึงเจ้ามาก เหตุใดเจ้าไม่ตามข้ากลับบ้านไปหาท่านแม่เล่า”
  “กลับบ้านไปหาท่านแม่งั้นรึ”
  เมื่อได้ฟังหลิงหยุนเอ่ยถึงท่านแม่และบ้าน.. แววตาของหนิงหลิงยู่ก็เป็นประกายสับสนขึ้นมาวูบหนึ่ง และดูเหมือนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะ
  และนี่คือวินาทีที่หลิงหยุนรอคอย!
  “ลงมือได้!”   หลิงหยุนใช้มังกรคำรามร้องตะโกนออกมาทันที..
  ในเวลาเดียวกันนั้นเองลำแสงสีทองสุกสว่างก็ได้พุ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางหว่างคิ้ว และจุดตันเถียนของหลิงหยุนอย่างพร้อมเพรียงกัน
  ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภาส่วนอีกสายพุ่งลงไปยังปฐพีเบื้องล่าง..
  หลิงหยุนจัดการเรียกหินมณีไฟจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนออกมาจากแหวนจักรวาลของตนเอง และเวลานี้ แสงสีแดงระยิบระยิบก็ได้รายล้อมร่างของหลิงหยุน และหนิงหลิงยู่ไว้ เกิดเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งหลายชั้นทับซ้อนกันอยู่
  ที่สำคัญหนึ่งในนั้นก็คือค่ายกลอัคนี!
  น้ำและไฟเป็นสิ่งที่ต้านทานกันหนิงหลิงยู่นั้นฝึกวิชาคลื่นคงคา ถึงขั้นที่สามารถควบคุมพลังน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ในขณะที่วิชาพฤกษาขจีนั้น ก็ฝึกถึงขั้นที่สามารถปลุกชีพไม้ตายได้
  หลิงหยุนจำเป็นต้องปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่เวลานี้ มือซ้ายของเขาถือกระบี่โลหิตเทวะ ส่วนมือขวานั้นว่างเปล่า เหนือศรีษะมีหม้อเสินหนงล่องลอยอยู่ ในขณะเดียวกัน ก็ได้ปลดปล่อยพลังอมตะภายในร่างออกมา เป็นเกราะกำบังร่างกายไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
  ฟิ้ว..ฟิ้ว.. ฟิ้ว..
  กระบี่เหินเงาธนูกระบี่กังฉี หอกมังกรทอง และตราหยกจักรพรรดิ พุ่งออกมาจากร่างของหลิงหยุน และรายล้อมร่างของเขาไว้อีกชั้น
  หลังจากมั่นใจว่าหนิงหลิงยู่ได้ตกอยู่ในกับดักของตนเองแล้ว หลิงหยุนก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
  “อาวุโสชียวิ๋นจื่อเมื่อครู่เพราะความจำเป็น ข้าจำต้องล่วงเกินท่าน ได้โปรดอภัยให้ด้วย!”   “ท่านรีบจัดการทำให้ค่ายกลปราการนี้แข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และจำไว้ว่าผู้ใดก็อย่าได้ออกมานอกค่ายกลโดยเด็ดขาด หาไม่แล้วจะต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย!”
  หลังจากที่ร้องตะโกนบอกชียวิ๋นจื่อและเตือนทุกคนแล้ว หลิงหยุนก็ไม่สนใจผู้ใดอีก เวลานี้ เนตรหยิน–หยางอันคมกริบของเขา กำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างของหนิงหลิงยู่เท่านั้น..
  หนิงหลิงยู่เพียงแค่ประหลาดใจในคราแรกแต่เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวในที่สุด!
  ดวงตาคู่งามนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและจ้องมองหลิงหยุนอย่างไม่แยแส ประหนึ่งเซียนผู้เก่งกล้าที่กำลังจ้องมองมดตัวหนึ่ง..
  หลิงหยุนเองก็แสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันให้กับหญิงสาวเช่นกันทั้งคู่ต่างก็ยืนจ้องมองกันอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน..
  “นี่เจ้าคิดที่จะทำอะไร”   “นี่เจ้าคิดที่จะทำอะไร”
  จากนั้นคำพูดประโยคเดียวกัน ก็ได้เปล่งออกมาจากปากของชายหนุ่ม และหญิงสาวพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะยืนจ้องตากันแน่นิ่งอยู่อีกครู่ใหญ่ และในที่สุด หลิงหยุนก็เป็นผู้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
  “ข้ายังคิดว่าประโยคแรกที่ข้าจะได้ยินจากปากเจ้าก็คือ–จะยอมสวามิภักดิ์ข้า หรือจะยอมตาย!- เสียอีก..”
  หลิงหยุนเปิดการสนทนาด้วยมุขตลกล้อเลียนหญิงสาว..
  หนิงหลิงยู่ส่ายหน้าไปมาช้าๆพร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “ข้าย่อมไม่พูดประโยคนั้นกับเจ้าแน่! คำพูดเช่นนั้นสามารถพูดกับผู้ใดก็ได้ แต่ต้องมิใช่เจ้า เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์เลือกสิ่งใด นอกจากความตายเท่านั้น!”
  “โอ้!อย่างนั้นเชียวรึ”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับยิ้มกว้างพร้อมกับจ้องมองหนิงหลิงยู่ด้วยสีหน้าแววตาเหยียดหยัน ก่อนจะตอบโต้กลับไปในทันที
  “ช่างบังเอิญนัก!เพราะนั่นเป็นคำพูดที่ข้าตั้งใจจะบอกกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน!”
  หนิงหลิงยู่ฟังแล้วถึงกับหัวเราะเสียงดัง“ฮ่าๆๆ เจ้ามีปัญญารึ”
  “เดี๋ยวเจ้าก็รู้!แต่ก่อนที่เจ้าจะออกจากร่างของหลิงยู่ ข้าจะต้องนอนกับเจ้าก่อน!” หลิงหยุนเอ่ยบอกพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
  หนิงหลิงยู่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับชะงักไปในทันทีก่อนจะจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาดุดัน พร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
  “เมื่อครู่เจ้าเอ่ยอะไรออกมา”
  “เจ้าหูหนวกหรือยังไงกัน”
  หลิงหยุนย้อนถามพร้อมกับย้ำซ้ำๆอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าบอกว่าข้าจะนอนกับเจ้ายังไงล่ะ ข้าจะนอนกับเจ้า! แล้วก็ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย แต่จะนอนกับเจ้าจนกว่าข้าจะพอใจ!คราวนี้เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”
  ฟิ้ว!
  ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนลำแสงสีขาวก็ได้พวยพุ่งออกมาจากกึ่งกลางหว่างคิ้วของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว!
  ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาที่รวดเร็วยิ่งนักอีกทั้งระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่นั้น ก็กว้างไม่ถึงหกฟุตด้วยซ้ำไป..
  และในระยะทางที่กระชั้นชิดเช่นนี้อย่าว่าแต่จะหลบเลย แม้แต่จะควบคุมของวิเศษทั้งสี่ยังไม่ทันการ แต่ถึงกระนั้น หลิงหยุนก็ดูเหมือนไม่ตั้งใจที่จะหลบอีกด้วย เพราะไม่จำเป็นที่เขาจะต้องทำเช่นนั้น!
  แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเองกระบี่จักรพรรดิมังกรก็ได้พุ่งทะยานออกมาจากจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุน และตรงเข้าจัดการกับลำแสงสีขาวนั้นในทันที!
  หนิงหลิงยู่มีกระบี่เหินซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ระดับเต๋าซึ่งหลิงหยุนนั้นมีมาก่อนหน้านางเสียอีก!
  เวลานี้ลำแสงสีทองสุกสว่าง กำลังประทะกับลำแสงสีขาวเจิดจ้า จนเกิดเสียงดังจากการปะทะกันอย่างหนักหน่วงให้ได้ยิน!
  บูม!บูม!
  ยุทธภัณฑ์ระดับเต๋าทั้งสองชิ้นได้ระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมาอย่างรุนแรง หนิงหลิงยู่กระโดดถอยหลังออกไป หลิงหยุนเองก็เช่นกัน!
  รัศมีพลังอันแข็งแกร่งของกระบี่ทั้งสองเล่มได้พวยพุ่งออกไปทุกทิศทาง และกระทบเข้ากับค่ายกลปราการของสำนักกระบี่คุนหลุนอย่างรุนแรง
  ทุกคนที่อยู่ในค่ายกลปราการถึงกับตื่นตะลึงเมื่อพบว่า ปราการสีทองอันแข็งแกร่งที่หนากว่าสองนิ้วนั้น เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับถูกทุบด้วยค้อนยักษ์..
  เวลานี้ดูเหมือนจะมีเพียงชียวิ๋นจื่อซึ่งเป็นผู้ควบคุมค่ายกลปราการเท่านั้น ที่จะรู้ความจริงว่า รัศมีพลังของกระบี่ทั้งสองที่เพิ่งปะทะเข้ากับค่ายกลปราการเมื่อครู่ เกือบจะทำให้ปราการสีทองนี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว!
  “ต้องปะทะกันรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวรึ”
  กระทั่งมือกระบี่ขั้นจินตันยังได้แต่ชาไปทั่วทั้งร่าง และถึงกับแอบถอนหายใจออกมา..
  เวลานี้ชียวิ๋นจื่อเพิ่งจะเข้าใจว่า เหตุใดหลิงหยุนจึงกำชับให้เขาควบคุมค่ายกลปราการนี้ให้ดี และห้ามมิให้ผู้ใดออกนอกค่ายกลเป็นอันขาด!
  “นี่มันเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับใดกัน”
  แต่ที่ชียวิ๋นจื่อตกใจมากที่สุดก็คือเวลานี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางรัศมีพลังรุนแรงเมื่อครู่นั้น กลับมิมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร