Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1648

บทที่ 1648 : การเผชิญหน้าของสองพี่น้อง
  ในระหว่างที่ยุทธภัณฑ์ระดับเต๋าทั้งสองกำลังปะทะกันอย่างหนักหน่วงรุนแรงนั้น รัศมีพลังของกระบี่ทั้งสองเล่มที่แผ่ซ่านออกไปเป็นวงกว้าง ก็รุนแรงอย่างมากด้วย ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นจินตัน แม้เพียงแค่โดนรัศมีในระยะไกลนี้เข้าไป ก็คงต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้วอย่างแน่นอน
  แต่เวลานี้ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองซึ่งอยู่กลางวงรัศมีพลังนั้น กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
  เวลานี้แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะยังอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่หญิงสาวก็ยังสามารถควบคุมดอกบัวทองคำ ให้ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันของตนเองได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน ก็ควบคุมกระบี่เหินให้จู่โจมหลิงหยุนอย่างต่อเนื่อ
  ในขณะที่หลิงหยุนนั้นดูเหมือนจะดุดันมากกว่าหนิงหลิงยู่มากในเสี้ยววินาทีที่อันตราย และวิกฤติอย่างมากนั้น กระบี่จักรพรรดิมังกรได้พุ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของเขาในทันที ในขณะที่ตราหยกจักรพรรดิก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามเมตร ปกป้องหลิงหยุนที่อยู่ด้านหลังไว้ได้อย่างปลอดภัย
  ในวินาทีก่อนที่กระบี่ของทั้งคู่จะปะทะกันนั้นดูเหมือนทั้งสองฝ่ายต่างก็สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่า จะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง ทั้งคู่จึงสามารถปกป้องตนเองไว้ได้ทันเวลา!
  และด้วยเหตุนี้เองผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศทั้งสอง จึงไม่ได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่!
  ในระยะที่ประชิดตัวเช่นนี้รวมถึงระยะเวลาที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการจู่โจม หรือการป้องกัน ทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วแต่ต้องคาดเดาล่วงหน้า ทั้งยังจะต้องคาดเดาได้อย่างแม่นยำถูกต้องอีกด้วย!
  และทั้งหมดนี้จะต้องอาศัยมุมมองที่ลึกซึ้งและปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วว่องไว จึงจะสามารถทำได้สำเร็จ!   ชียวิ๋นจื่อได้แต่ยืนตกตะลึง..
  เขาย้อนถามตัวเองว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับหนิงหลิงยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ เขาจะสามารถรับมือได้อย่างที่หลิงหยุนทำหรือไม่ คำตอบคือไม่!
  ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ชียวิ๋นจื่อเชื่อว่า หนิงหลิงยู่จะสามารถทำลายเกราะป้องกัน และจู่โจมเขาได้ในที่สุด และเขาก็คงต้องหาทางหนีเอาตัวรอด หลังจากถูกอีกฝ่ายแทงเข้าสองสามแผลเป็นแน่..
  แต่เวลานี้ทั้งสองฝ่ายกลับไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
  ชียวิ๋นจื่อรับรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสัญชาติญาณของการต่อสู้อยู่ในตัว ซึ่งสัญชาติญาณเช่นนี้ ไม่อาจบอกได้ว่า ต้องผ่านการต่อสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกมากี่ครั้งกี่ครา และต้องผ่านกองซากศพเท่าขุนเขา หรือทะเลโลหิตมามากเท่าใด จึงจะสามารถมีสัญชาติญาณเช่นนี้ได้!
  สำหรับตัวเขาเองนั้น..   นับแต่ที่เข้าคุนหลุนไปก็เอาแต่ฝึกฝนวรุยทธบ่มเพาะ และเพลงกระบี่จนเข้าสู่ขั้นจินตัน แม้จะเคยได้ลงมือต่อสู้อยู่สองสามครั้ง แต่เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกวรยุทธบ่มเพาะ และเพลงกระบี่เพื่อพัฒนาขั้นพลังของตนเอง แม้จะเข้าสู่ขั้นจินตันได้ แต่สัญชาติญาณในการต่อสู้ของเขานั้น กลับยังอ่อนด้อยกว่าหนุ่มสาวทั้งสองมากนัก
  “นี่สินะจึงจะเรียกว่าการต่อสู้อย่างแท้จริง!”
  เวลานี้รัศมีจิตหยั่งรู้ของชียวิ๋นจื่อ ดูเหมือนจะมีเพียงภาพการต่อสู้ของชายหนุ่ม และหญิงสาวทั้งสองเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมให้พลาดรายละเอียดในการต่อสู้ไปแม้แต่ฉากเดียว สีหน้าของชียวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก!
  ในสายตาของชียวิ๋นจื่อเวลานี้หนุ่มสาวทั้งสองคนตรงหน้าเขานั้น นับเป็นปรมาจารย์ผู้มีกำลังภายใน และวรยุทธล้ำลึก หาใช่เด็กนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยไม่!   ชียวิ๋นจื่อรู้เพียงแค่ว่าในศึกการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะแพ้ หรือว่าชนะ ตราบใดที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดกลับไปคุนหลุนได้ เขาจะต้องทุ่มเทตนให้กับการฝึกวรยุทธบ่มเพาะ ให้สามารถเข้าสู่ขั้นหยวนอิงให้ได้โดยเร็วเท่าที่จะทำได้
  และแน่นอนว่าเวลานี้ผู้ที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ของสองพี่น้อง ซึ่งอยู่นอกค่ายกลปราการได้นั้น ก็เห็นจะมีแต่ชียวิ๋นจื่อมือกระบี่ขั้นจินตันผู้เดียวเท่านั้น คนอื่นๆเห็นเพียงแค่รัศมีพลังที่พวยพุ่งออกมาเท่านั้น
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เจี้ยนกังที่แทบไม่เห็นอะไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจนัก และเวลานี้เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียมากกว่า
  จู่ๆหลิงหยุนก็ปรากฏตัว ซึ่งไม่ผิดจากที่เขาคาดเดาไว้ เขาแอบคิดไว้อยู่แล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหนิงหลิงยู่ในการบุกถล่มสำนักน้อยใหญ่บนเทือกเขาคุนหลุนนั้น ก็คือหลิงหยุน!
  ก่อหน้านี้หลิงหยุนสามารถเข้ามาในค่ายกลปราการได้อย่างง่ายดาย ทำให้หลี่เจี้ยนกังได้แต่เตรียมตัวเตรียมใจที่จะจบชีวิตรอไว้แล้ว
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ หลิงหยุนก็จะออกไปอีก!
  หลังจากที่สองพี่น้องสนทนากันอยู่ครู่หนึ่งและดูเหมือนหลิงหยุนจะชวนหนิงหลิงยู่ให้กลับบ้าน แต่ยังไม่ทันไร หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็ปะทะกันอย่างดุเดือด!
  จู่ๆหลิงหยุนก็กลับกลายมาอยู่ข้างตนเองเช่นนี้ จะไม่ให้หลี่เจี้ยนกังตื่นเต้นดีใจได้อย่างไรกันเล่า เขาแทบอยากจะกระโดดตัวลอยพร้อมกับร้องเชียร์หลิงหยุน!
  หลี่เจี้ยนกังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆพี่ชายกับน้องสาวคู่นี้จึงได้กลายมาเป็นศัตรู ที่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ และเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะหาเหตุผลด้วย อีกทั้งนี่หาใช่เวลามานั่งวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้..
  เขารู้เพียงแค่ว่าเวลานี้หลิงหยุนได้เปลี่ยนมาอยู่ข้างตนเองแล้ว และเทพแห่งสงครามผู้นี้ ก็กำลังยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพวกเขาด้วย ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิม และพร้อมที่จะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุนขึ้นมาทันที!
  หากจะพูดว่าการปรากฏตัวของหลิงหยุนเช่นนี้ ทำให้จิตวิญญาณนักสู้ในตัวของหลี่เจี้ยนกัง ฮึกเหิมขึ้นได้มากกว่าการปรากฏตัวอาจารย์ปู่ชียวิ๋นจื่อ ก็เกรงว่าจะเป็นการไร้มารยาทจนเกินไป!
  การได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพแห่งสงครามอย่างหลิงหยุนทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้มากกว่า!
  ……
  ภายนอกค่ายกลปราการเวลานี้..
  ทั้งหลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ต่างก็เหาะกลับหัวและแยกย้ายออกห่างกันราวหนึ่งกิโลเมตรได้..
  สำหรับทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็คิดว่า นี่คือระยะห่างในการต่อสู้ที่เหมาะสมที่สุดของพวกเขา ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการเผชิญหน้าในระยะกระชั้นชิดของคนธรรมดาทั่วไป
  หนิงหลิงยู่ยังคงควบคุมกระบี่ของตนเองให้จู่โจมหลิงหยุนอย่างต่อเนื่องส่วนสายตานั้นคอยกวาดมองหลิงหยุน และกระบี่วิเศษของเขาเป็นครั้งคราว ลูกนัยน์ตาของหนิงหลิงยู่สั่นระริกในขณะที่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
  “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีของวิเศษล้ำค่ามากมายถึงเพียงนี้!”
  แม้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงของหนิงหลิงยู่จะเฉยเมยแต่จากคำพูดของนาง หลิงหยุนพอจะคาดเดาได้ว่า นางกำลังรู้สึกอิจฉาเขาอยู่..
  ไม่ว่าจะเป็นกระบี่โลหิตเทวะพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ หม้อเสินหนง ตราหยกจักรพรรดิ รวมทั้งกระบี่เหินเงาธนู และกระบี่กังฉีของหลิงหยุนด้วย ยังมีหอกมังกรทอง กระทั่งกระบี่จักรพรรดิมังกร..
  ยังมีหินมณีไฟที่หลิงหยุนใช้สร้างค่ายกลอีก..
  เพื่อจัดการกับหนิงหลิงยู่ในครั้งนี้หลิงหยุนต้องนำของวิเศษมากมายหลายชิ้น ออกมาใช้พร้อมกันในคราเดียว!
  แม้ว่าที่ผ่านมาหญิงสาวจะได้เคยเห็นของวิเศษต่างๆของหลิงหยุนมามากแล้ว และพอรู้มาบ้างว่าเขามีไพ่อะไรอยู่ในมือบ้าง
  แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีของวิเศษหลายชิ้น ที่หญิงสาวเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน นั่นเพราะที่ผ่านมา นางเองก็ไม่ค่อยได้ติดตามหลิงหยุนไปต่อสู้บ่อยครั้งนัก ฉะนั้นแล้ว หนิงหลิงยู่จึงนับว่าเข้าใจหลิงหยุนในเชิงความสามารถในการต่อสู้ ด้อยกว่าเย่ซิงเฉินมากนัก
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ที่หนิงหลิงยู่ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนั้น และหลิงหยุนเริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว ทำให้เขาไม่ค่อยพานางไปไหนด้วยมากนัก
  และวิชาพฤกษาขจีก็เป็นวิชาสุดท้ายที่หลิงหยุนได้ถ่ายทอดให้กับหนิงหลิงยู่ก่อนที่นางจะเข้ารับทัณฑ์สวรรค์ด้วยซ้ำไป..
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ‘ไพ่ในมือที่ข้าจะใช้จัดการกับเจ้า ยังไม่ได้นำออกมาต่างหากเล่า!’
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะสามารถนำพลังอมตะในร่างออกมาใช้ได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน..”
  หลิงหยุนมองออกว่าเหตุผลที่หนิงหลิงยู่กล้าบ้าบิ่น และยอมที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนเช่นนี้ หาใช่เพราะจิตวิญญาณของเทพธิดาองค์นี้หยิ่งผยอง เพียงแต่นางรู้วิธีที่จะนำพลังอมตะในร่างออกมาใช้ต่างหาก ทำให้นางเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองอย่างมาก
  ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะทั่วไปย่อมต้องรู้ว่าในขั้นพลังชี่นี้คือการบ่มเพาะชี่หลอมกลั่นจิตวิญญาณ
  และเมื่อเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานชี่ทั้งหมดภายในร่างจะถูกเปลี่ยนเป็นเสินหยวนอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นขั้นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเสินหยวน
  จากนั้นจึงจะเข้าสู่ระดับการฝึกจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ซึ่งเรียกว่าขั้นจินตัน ต่อจากขั้นจินตัน ก็จะเข้าสู่ขั้นหยวนอิง ซึ่งเป็นขั้นปราณก่อนกำเนิดอย่างแท้จริง
  ผู้ที่เข้าสู่ขั้นหยวนอิงได้แล้วเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเข้าถึงเต๋าได้อย่างแท้จริง เป็นสภาวะที่จะเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นเซียน และเมื่อใดที่ผู้ฝึกถึงขึ้นหยวนอิงสามารถข้ามผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นเซียนขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้อย่างแท้จริง
  ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะธรรมดาทั่วไป จึงจะไม่สามารถนำพลังอมตะออกมาใช้เช่นนี้ได้ อย่าว่าแต่จะนำออกมาใช้เลย ภายในร่างยังไม่มีพลังอมตะด้วยซ้ำไป อย่างน้อยก็ต้องเข้าสู่ขั้นหยวนอิงเสียก่อน..
  เวลานี้หนิงหลิงยู่อยู่ห่างจากขั้นหยวนอิงมากนัก นางจึงไม่น่าจะเข้าใจวิธีการนำพลังอมตะในร่างออกมาใช้ได้ แต่หลิงหยุนเชื่อว่า หญิงสาวคงจะมีวิชาเฉพาะบางอย่าง ที่นางเคยใช้เมื่อครั้งอยู่บนสรวงสวรรค์
  หลังจากได้ฟังคำกล่าวของหลิงหยุนหนิงหลิงยู่ก็เอ่ยขอบใจหลิงหยุนอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องนี้ข้าคงต้องขอบใจเจ้า ที่ได้เปลี่ยนกายนี้ให้เป็นกายอัปสร!”
  ดูเหมือนหญิงสาวจะพยายามพูดจากระตุ้นให้หลิงหยุนมีอารมณ์โกรธแต่น่าเสียดายที่หลิงหยุนกลับไม่นึกเสียใจที่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะตอบกลับไปว่า..
  “ฮ่าๆๆๆกายอัปสรงั้นรึ”
  หลิงหยุนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“เมื่อครู่ข้าเฝ้าดูเจ้าพัฒนาขั้นพลังอยู่ เหตุใดจึงหยุดอยู่เพียงแค่ขั้นก่อสร้างรากฐานเล่า ด้วยนิสัยของเจ้า เจ้าไม่น่าหยุดพัฒนาขั้นพลังอยู่เพียงแค่นี้นี่?”
  นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นกับนางอย่างแน่นอน!   หลิงหยุนเป็นผู้ใดกันเขาเคยผ่านการฝึกบ่มเพาะพลังมาอย่างหนัก จนถึงช่วงใกล้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นเซียนแล้ว..
  ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้ว่า ผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังในแต่ละขั้นนั้น จะต้องเผชิญกับอะไร จะต้องประสบกับสิ่งใด และจะทะลวงขั้นพลังอย่างไร ให้สามารถเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้อย่างปลอดภัย
  และด้วยกายาที่พิเศษจากผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปของหนิงหลิงยู่การที่นางจะทะลวงจากขั้นพลังชี่เข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานนั้น จึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายไร้ซึ่งอุปสรรค และทำได้รวดเร็วราวกับการขี่จรวด..
  แต่จากขั้นก่อสร้างรากฐานเข้าสู่ขั้นจินตันนั้นยังนับว่าอันตรายเกินไปสำหรับหนิงหลิงยู่ในเวลานี้!
  และสาเหตุก็หาใช่เพราะร่างกายพรสวรรค์ หรือความเข้าใจในขั้นพลังของนางไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะภายในร่างของหนิงหลิงยู่มีจิตวิญญาณอยู่ถึงสองดวงต่างหาก!   หนึ่งกายสองจิตวิญญาณแน่นอนว่าย่อมเกิดการแบ่งปันโดยธรรมชาติ เมื่อใดที่จิตวิญญาณเทพธิดาองค์นี้เข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ก็จะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งด้วยเช่นกัน ซึ่งนางเองไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่เข้าสู่สภาวะนี้!
  หาไม่แล้ว..เมื่อเข้าสู่กระบวนการผสานกายกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน นางจะไม่สามารถผสานรวมกายนี้เข้ากับจิตวิญญาณของนางได้!
  แม้ว่าเทพธิดาองค์นี้จะแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์มากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจฝืนกฏธรรมชาติข้อนี้ไปได้..
  ด้วยเหตุนี้ตราบใดที่ยังไม่สามารถหาหนทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ เทพธิดาในร่างหนิงหลิงยู่นี้ ย่อมไม่กล้าที่จะจะพัฒนาขั้นขึ้นไปสูงกว่านี้แน่..
  สิ่งที่นางต้องการในเวลานี้ก็คือเวลา..
  แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนจะไม่ปล่อยให้นางได้มีเวลามากไปกว่านี้แน่!   และหลังจากได้ยินคำพูดของหลิงหยุนหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับเดือดดาลขึ้นมาทันที สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด และดูเหมือนว่า ในที่สุดหลิงหยุนก็ค้นพบจุดอ่อนของนางเข้าแล้ว..
  “ฮึ่ม!เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว! ถึงแม้ข้าจะหยุดพัฒนาขั้นเพียงแค่นี้ แต่ก็สามารถสังหารเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
  “อย่างนั้นเชียวรึฮ่าๆๆๆ”
  หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังราวกับว่ากำลังได้ยินได้ฟังเรื่องที่ตลกขบขันที่สุดอยู่ เขาถึงกับเงยหน้าขึ้นฟ้า และหัวเราะออกมาไม่หยุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร