Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1651

บทที่ 1651 : ความหวาดกลัว
  หนิงหลิงยู่เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองยังรู้จักหลิงหยุนน้อยไปมากจริงๆ!
  ที่ผ่านมานางเคยติดตามหลิงหยุนไปตามที่ต่างๆ จึงรู้ว่า หลงหยุนนั้นแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ และแม้จะผ่านการต่อสู้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เลยสักครั้ง
  และการต่อสู้ที่ดุเดือดและอันตรายมากที่สุด ที่หนิงหลิงยู่เคยเผชิญร่วมกับหลิงหยุนก็คือ การต่อสู้ภายในบ้านเลขที่ 1 เมืองจิงฉู
  ในคืนนั้นแสงสีทองสุกสว่างได้แผ่รัศมีโชติช่วงไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู และในครั้งนั้น หลิงหยุนก็ได้นำไพ่ในมือของตนเองออกมาใช้แทบทุกใบ จนกระทั่งสามารถเอาชนะศัตรูได้ในที่สุด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปหลายวัน ถึงกระนั้น ด้วยความช่วยเหลือของหนิงหลิงยู่ ในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถฟื้นคืนสติคืนมาได้อย่างปลอดภัย  แต่ครั้งนั้นจิตวิญญาณของเทพธิดาในร่างของหนิงหลิงยู่ยังไม่ตื่น ฉะนั้น หนิงหลิงยู่ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุนในคืนนั้น จึงเป็นจิตวิญญาณอีกดวงในร่าง และด้วยสายสัมพันธ์ของพี่น้อง หนิงหลิงยู่จึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลิงหยุนฟื้นคืนสติจนได้
  แต่เมื่อจิตวิญญาณแห่งเทพธิดาตื่นขึ้นหนิงหลิงยู่ก็จดจ่ออยู่กับการคิดหาหนทาง ที่จะสังหารหลิงหยุนให้ได้โดยเร็วที่สุด นางจึงต้องเร่งศึกษาความแข็งแกร่ง และความสามารถของคู่ต่อสู้ให้กระจ่าง จนในที่สุดก็ได้บทสรุปว่า หากทั้งคู่ยังมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นเดียวกัน นางย่อมไม่มีโอกาสสังหารหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน!
  ภายในระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งปีที่หลิงหยุนกลับมาจุติอีกครั้งบนโลกใบนี้เขาก็สามารถบ่มเพาะกายาให้กับร่างนี้จนแข็งแกร่งอย่างมากได้
  หากเปลี่ยนเป็นตัวนางนางก็มั่นใจว่าจะไม่สามารถทำได้ดีเช่นเดียวกับหลิงหยุน และหากนางฝืนที่จะต่อสู้กับหลิงหยุน แน่นอนว่าหากไม่แพ้ ก็คงทำได้ดีเพียงแค่เสมอเท่านั้น..
  นั่นเพราะแต่ละขั้นพลังของหลิงหยุนนั้น ไม่เพียงมีสภาวะที่เสถียรมั่นคงมาก แต่ยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย ซึ่งหนิงหลิงยู่เองก็รู้ดีว่า นี่เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และด้วยเหตุนี้เมื่อหลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งอย่างที่ยากจะหาผู้ใดเทียบได้!
  แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างมากแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ย่อมต้องมีข้อเสียปะปนมาด้วย ซึ่งก็คือความล่าช้า!
  หากเปลี่ยนเป็นหนิงหลิงยู่ด้วยระยะเวลาที่เท่ากันนั้น นางคงจะสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานไปได้ตั้งนานแล้ว นางคงจะไม่เสียเวลาเนิ่นานไปกับขั้นบ่มเพาะกายาแน่!
  นั่นเพราะต่อให้จะมีกายาที่แข็งแกร่งมากเพียงใด หากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วล่ะก็ ย่อมสามารถถูกสังหารตายได้อย่างง่ายดาย!
  เช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน
  ด้วยเหตุนี้หนิงหลิงยู่จึงนึกดูถูกเหยียดหยามแนวทางการฝึกเช่นนี้ของหลิงหยุน นางจึงเร่งฝึกบ่มเพาะพลังเพื่อให้ตนเองก้าวหน้าโดยเร็ว และคนที่มีพรสวรรค์เช่นนาง จะมิยอมให้ผู้อื่นเดินนำหน้าตลอดไปอย่างแน่นอน
  หากเทียบระหว่างหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังที่ล้ำเลิศแล้วล่ะก็ หลิงหยุนยังนับว่าช้ากว่าหญิงสาวนัก แต่หากเปรียบเทียบกับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะพลังทั่วไปแล้วล่ะก็ หลิงหยุนนับว่าก้าวหน้าเร็วกว่ามาก ซึ่งหนิงหลิงยู่เองก็รู้ดีว่าเพราะสาเหตุใด
  นั่นเพราะสภาพแวดล้อมของหลิงหยุนนั้นเอื้ออำนวยต่อความก้าวหน้าในขั้นพลังเป็นอย่างมาก..
  จริงอยู่ที่โลกใบนี้มีพลังชีวิตที่ค่อนข้างเหือดแห้งและในสายตาของหนิงหลิงยู่นั้น โลกใบนี้เปรียบเสมือนสถานที่ซึ่งแม้แต่นกยังไม่อยากมาเสียเวลามาถ่ายของเสีย และนี่คือเหตุผลที่ผู้บ่มเพาะพลังในโลกใบนี้ ต้องต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรกัน
  เช่นเดียวกับหลิงหยุนหากเขาพบว่าผู้ใดมีทรัพยากรที่เอื้อประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลัง เขาจะฉกฉวยทรัพยากรเหล่านั้นมาเป็นของตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร หรืออยู่ในขั้นใด ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้อื่น ที่ไม่มีผู้ใดกล้าจะไปฉกฉวยทรัพยากรจากเขา!
  ในขณะที่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นซึ่งมีพลังชีวิตอยู่อย่างเหลือเฟือนั้น ผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังหลายคน กลับถูกบรรดาอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ เข่นฆ่าสังหารตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ บ้างตายในสนามประลอง บ้างตายในระหว่างต่อสู้ บางคนอุตส่าห์หลบซ่อนตัวอยู่ที่ที่ลึกลับ ก็ยังถูกสังหารตายได้
  ด้วยเหตุนี้สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังของหลิงหยุนนั้น จึงนับว่าราบเรียบ และเอื้่อต่อความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก!
  ส่วนการต่อสู้หลายๆครั้งที่เกือบจะทำให้หลิงหยุนเอาชีวิตไม่รอดนั้น ก็ได้สร้างประสบการณ์ในการต่อสู้ของหลิงหยุนให้แหลมคมมากขึ้น ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางนี้
  ถึงแม้ว่าพลังชีวิตบนโลกใบนี้จะค่อนข้างเหือดแห้งแต่โลกก็ยังนับเป็นดาวเคราะห์ที่มีอายุน้อยที่สุด หากสามารถรวบรวมพลังชีวิตจากทั่วทั้งโลกได้ ก็นับว่าเพียงพอที่จะสามารถทำให้คนผู้นั้น พัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะไปได้อีกหลายขั้นทีเดียว!
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงไม่รีบร้อน และต้องการใช้สภาพแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อการฝึกฝนของตนเองนี้ ค่อยๆก้าวเดินไปบนเส้นทางบ่มเพาะพลังอย่างมั่นคง
  และเพื่อให้แต่ละขั้นพลังนั้นแข็งแกร่งและมีความมั่นคงที่สุดหลิงหยุนจะค่อยๆฝึกฝนให้ถึงขีดจำกัดสูงสุดในแต่ขั้นเท่าที่จะสามารถทำได้ แล้วจึงค่อยพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไป เขาฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างใจเย็น และปล่อยให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ  และแน่นอนว่าหนิงหลิงยู่เองย่อมรู้ถึงวิธีการฝึกฝนของหลิงหยุนเป็นอย่างดีเช่นกัน เพราะเขามักจะย้ำสอนหญิงสาวอยู่เสมอ และนางให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน..
  ด้วยเหตุนี้หลังจากที่จิตวิญญาณอีกดวงตื่นขึ้น นางจึงรับรู้ได้ว่า การจะลงมือสังหารหลิงหยุนนั้น หาใช่เรื่องง่ายไม่! หลังจากที่เฝ้าครุ่นคิดหาหนทางอยู่นาน ในที่สุดหญิงสาวก็ได้คำตอบ!
  ในเมื่อเจ้าต้องการขั้นพลังที่มั่นคงโดยไม่สนใจรีบร้อนที่จะพัฒนาขั้น ข้าก็จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเจ้า ข้าจะพัฒนาขั้นพลังให้ก้าวหน้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
  เมื่อใดที่เจ้าเข้าสู่ด่านแรกของขั้นพลังชี่ข้าจะต้องเข้าสู่ระดับสูงสุดของด่านกลางให้ได้ และเมื่อใดที่เจ้าเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้ว ข้าก็จะต้องเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ให้ได้ และเมื่อใดที่เจ้าเข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ ข้าก็จะต้องเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานให้จงได้!   หากข้าอยู่เหนือกว่าเจ้าถึงหกระดับย่อยต่อให้เจ้าจะมีฐานพลังที่แข็งแกร่งเพียงใด หรือมีของวิเศษล้ำค่าอยู่ในมือมากเพียงใด ก็ยากที่เจ้าจะสามารถหนีพ้นความตายไปได้!
  แต่เมื่อหนิงหลิงยู่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) และได้พบกับหลิงหยุนที่สำนักกระบี่เทียนซาน นางกลับพบว่า หลิงหยุนเองก็เข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่แล้วเช่นกัน!
  นี่ข้ายังไม่สามารถที่จะกำจัดเจ้าได้อีกงั้นหรือ
  และในคืนนี้หลังจากที่พัฒนาขั้นพลังในระหว่างที่ต่อสู้กับชียวิ๋นจื่อ จนสามารถเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้ นางถึงกับต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า หลิงหยุนเองก็ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่แล้ว!
  เกิดอะไรขึ้นกับหลิงหยุนเหตุใดจู่ๆ เขาจึงสามารถพัฒนาขั้นพลังได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?
  และนี่คือคำถามที่หนิงหลิงยู่เพิ่งตระหนักนางไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน หรือเป็นเพราะหลิงหยุนเปลี่ยนความคิดแล้ว
  แต่ต่อให้เขาเปลี่ยนความคิดในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆเช่นนี้ เขาเสาะหาพลังชีวิตมาอย่างเพียงพอได้เช่นใดกัน
  หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าด้วยการฝึกฝนในแบบของหลิงหยุนนั้น จากระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ จนกระทั่งเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่นั้น ต้องใช้พลังชีวิตจำนวนมากมายเพียงใด
  แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดเช่นใดหญิงสาวก็ไม่สามารถหาคำตอบได้!
  เรื่องนี้ต้องขอบคุณทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วที่หลิงหยุนได้รับซึ่งหนึ่งในทัณฑ์อสุนีบาตที่เขาได้รับคือทัณฑ์อสุนีบาตห้าธาตุอันทรงพลัง!
  รวมทั้งการต่อสู้กับเหล่าชาวยุทธพันธมิตรหนานหยางซึ่งหลิงหยุนได้ดูดซับเอาพลังปราณของยอดฝีมือในขั้นพลังชี่ และขั้นก่อสร้างรากฐานเข้าไปมากมาย
  แม้กระทั่งในเย็นวันเดียวกันนี้หลิงหยุนก็ได้เข้าไปภายในค่ายกลของสุสานจักรพรรดิฉินซี ก่อนจะเดินทางมาที่สำนักกระบี่คุนหลุนด้วย!
  และสิ่งที่น่ากลัวมากก็คือนับตั้งแต่หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ต่อสู้กันนั้น หลิงหยุนยังไม่เรียกของวิเศษออกมาเพิ่มเลย และหญิงสาวเชื่อว่า หลิงหยุนไม่มีไพ่ในมืออยู่เพียงเท่านี้แน่!
  ยิ่งคิดหนิงหลิงยู่ก็ยิ่งใจสั่น..
  การที่ศัตรูอยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่กลับไม่สามารถสังหารได้ แม้จะพยายามแล้วทุกวิถีทางก็ตาม นับเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด และรำคาญใจยิ่งนัก!
  หนิงหลิงยู่เพิ่งจะรู้ตัว..ที่นางเคยคิดว่าการสังหารหลิงหยุนเป็นเรื่องง่ายนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ความจริง และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มในฐานะศัตรูจริงๆ หลิงหยุนกลับน่ากลัวกว่าที่นางคิดไว้มากนัก!
  หนิงหลิงยู่ได้แต่คิดว่าเป็นเพราะนางเป็นจักรพรรดินีมานานมากจนเกินไป จนกระทั่งลืมความแตกต่างระหว่างคำว่าคู่ต่อสู้ กับศัตรูไปเสียสิ้น!
  ‘ข้ามัวแต่คิดว่าตนเองแข็งแกร่งมากเพียงใดจนลืมคิดไปว่า ศัตรูอาจแข็งแกร่งกว่า’
  นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงหลิงยู่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกบางอย่างซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งแผ่นหลังไปจนถึงศรีษะ!
  ‘หรือว่านี่คือความกลัวเช่นนั้นหรือ!’
  ‘อยู่ในสนามต่อสู้เจ้าคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้ได้อย่างไรกัน’
  ‘ข้าคือจิตวิญญาณของจักรพรรดินีแห่งเทพแม้จะเพียงแค่เสี้ยว แต่ก็นับว่าตื่นรู้แล้ว เหตุใดจึงเกิดความฟุ้งซ่านหวาดกลัวเช่นนี้ขึ้นได้’
  ระหว่างที่หนิงหลิงยู่ครุ่นคิดอยู่นั้นหญิงสาวก็ได้เหลือบมองไปทางหลิงหยุน ซึ่งเวลานี้กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่ใบหน้าของเขากับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม..
  “เจ้าจะต้องตาย!พี่ใหญ่จะต้องหาหนทางกำจัดเจ้าได้อย่างแน่นอน!”
  แต่แล้วจู่เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็ดังก้องขึ้นอยู่ภายในใจของหนิงหลิงยู่..
  และแน่นอนว่านั่นเป็นเสียงจากจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ตัวจริง!
  “หุบปาก!”
  หนิงหลิงยู่ร้องคำรามลั่นด้วยความโกรธ!
  แต่จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ตัวจริงกลับไม่ยอมหยุดนางยังคงเอ่ยต่อว่า “เป็นเพราะเจ้ารู้ว่า พี่ใหญ่ของข้าจะไม่มีทางทำร้ายกายของข้า เจ้าจึงใช้วิธีปลอมเป็นข้า และร้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ออกไปเช่นนั้น เจ้าคงคิดว่าตนเองฉลาดมากสินะที่ใช้วิธีนี้! แต่เจ้าหารู้ไม่ว่า นั่นเท่ากับเป็นการประกาศว่า เจ้ากลัวพี่ใหญ่ของข้า จนต้องใช้วิธีเช่นนี้จัดการกับเขาต่างหาก!”
  “เวลานี้เจ้าหมดหนทางที่จะจัดการกับพี่ใหญ่ แต่เขายังไม่หมดหนทางที่จะจัดการกับเจ้าแน่!”
  “ข้าสั่งให้เจ้าหุบปาก!”
  เวลานี้หนิงหลิงยู่โกรธมาก และได้ใช้วิชาของตนเองสะกดจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่ไว้อีกครั้ง..
  และในเวลานั้นเองหลิงหยุนที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ จู่ๆ ก็ได้อันตรธานหายไป และมาปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าหนิงหลิงยู่ในทันที!
  หมัดปีศาจเถียนกัง!
  กำปั้นทรงพลังของหลิงหยุนกระแทกเข้ากับพลังอมตะซึ่งเป็นเสมือนเกราะป้องกันของหนิงหลิงยู่เข้าอย่างแรง จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ!
  แรงกระแทกรุนแรงนั้นทำให้หนิงหลิงยู่ถึงกับหน้าหงาย แล้วร่างของนางก็ลอยระลิ่วออกไปกลางห้วงอากาศ!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร