บทที่ 1653 : หน้าคัมภีร์สีทอง
หลังจากนั่งพักไปเล็กน้อยหลิงหยุนก็ได้จัดการเก็บกระบี่เหินระดับเต๋าของหนิงหลิงยู่กลับไป
ความจริงแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่หลิงหยุนใช้แส้หลิวเทวะวิญญาณ ฟาดเข้าที่ร่างของหนิงหลิงยู่นั้น กระบี่เหินของนางก็ถึงกับอ่อนกำลังลงอย่างมาก
และในการฟาดครั้งที่สองนั้นการสื่อสารเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่กับกระบี่เหิน ก็ได้ขาดออกจากกันในทันที ทำให้พลังจู่โจมที่เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าได้อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน จึงเหลือเพียงแค่ดวงจิตของกระบี่เหิน ที่ต่อสู้อยู่กับกระบี่จักรพรรดิมังกรของหลิงหยุนเพียงลำพัง
และในการฟาดครั้งที่สามหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับหมดสติไป ส่งผลให้ดวงจิตในกระบี่เหินได้รับบาดเจ็บสาหัส และหลับไหลไปด้วย จนในที่สุดก็ตกลงไปอยู่ข้างกายของหญิงสาว และไม่สามารถกลับเข้าสู่จุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของนางได้!
กระบี่เหินที่หลับไหลของหนิงหลิงยู่เวลานี้ได้หดเล็กลงเหลือเพียงแค่หนึ่งฟุตสามนิ้วเท่ากับกระบี่กังฉีของหลิงหยุน แต่ยังคงมีแสงสีขาวสว่างเจิดเจ้าของพลังอมตะที่ไหลเวียนอยู่ภายในปรากฏให้เห็น
แสงสว่างสีขาวเจิดจ้านี้หากยอดฝีมือในขั้นก่อสร้างรากฐานทั่วไป จ้องมองเป็นเวลานาน อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ถึงขั้นสูญเสียจิตแห่งเต๋าได้เลยทีเดียว
“จ่างยวิ๋น..”
หลิงหยุนใช้เนตรเทวะเทียนเอี๋ยนทงสำรวจดูที่ตัวกระบี่อย่างละเอียดเขามองทะลุแสงสีขาวสว่างนั้นเข้าไป และพบอักขระสองตัวที่สลักไว้บนกระบี่ ซึ่งทำให้หลิงหยุนถึงกับขนหัวลุก และอ้าปากหวอด้วยความงุนงง
อย่าได้ดูถูกอักขระทั้งสองตัวนี้ผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องการหลอมยุทธภัณฑ์ ย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านหลอมยุทธภัณฑ์เท่านั้น จึงจะรู้ว่า ต่อให้กระบี่สองเล่มเป็นกระบี่ที่หลอมขึ้นด้วยพลังอมตะเหมือนกัน แต่ย่อมไม่มีคุณค่าราคาเท่ากับกระบี่ที่มีอักขระทั้งสองสลักอยู่แน่
เหตุผลก็คืออักขระทั้งสองนี้ จะช่วยปรับแต่งกลไกล และค่ายกลภายในกระบี่เหินให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้ยากต่อการเปลี่ยนผู้ถือครอง แม้แต่หลิงหยุนเองยังถึงกับส่ายหน้า และได้แต่นึกชื่นชมหญิงสาวอยู่ในใจ!
“สมแล้วที่เป็นกระบี่ซึ่งหลอมโดยเซียน!”
ความหมายของอักษรทั้งสองตัวนั้นยังมีความหมายว่า ‘ห้ำหั่นเมฆา’ ซึ่งสามารถสื่อความหมายว่า ‘สังหารหลิงหยุน’ ได้อีกด้วย!
แต่เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เทพธิดาองค์นี้ดูเหมือนจะหมกมุ่นเพียงแค่เรื่องต้องการสังหารเขาอย่างเดียว จึงได้ตั้งใจหลอมอาวุธที่วิเศษ และแข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวคือสังหารเขา!
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่ามีเหตุผลอะไรกันที่เทพธิดาองค์นี้ จะต้องมุ่งมั่นสังหารตนเองถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะสังหารเขาให้ได้ นางถึงกับยอมมาจุติบนโลกใบนี้ และรอคอยให้ดวงจิตของเขามาจุติในโลกใบเดียวกันนานถึงสิบแปดปี!
ไม่เพียงเท่านั้นแม้ว่าจิตวิญญาณในร่างของหนิงหลิงยู่ จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณที่แท้จริงของเทพธิดาองค์นี้ แต่หากกลับสู่ร่างหลักได้ไม่ทันเวลา แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อร่างที่แท้จริงของนางในวันข้างหน้า และเกิดความเสียหายต่อตัวนางอย่างแน่นอน!
“เฮ้อ..เจ้าโกรธแค้นอะไรข้านักหนา ข้าเองก็มิเคยขึ้นไปสรวงสวรรค์มิใช่รึ?”
หลิงหยุนได้แต่บ่นพึมพำพร้อมกับจ้องมองหนิงหลิงยู่ด้วยแววตาสับสน และไม่ว่าจะครุ่นคิดเช่นใด ก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้!
ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้เขาย่อมไม่สามารถทำลายอักขระบนกระบี่เหินของหนิงหลิงยู่ได้ จึงได้แต่เก็บเข้าไปไว้ในแหวนจักรวาลของตนเองก่อน
เวลานี้หนิงหลิงยู่ได้หมดสติไปโดยสมบูรณ์ หลังจากถูกฟาดด้วยแส้หลิวเทวะวิญญาณ แต่ไม่เพียงจิตวิญญาณของเทพธิดาที่หลับไหล จิตวิญญาณของหนิงหลิงยู่เองก็หลับไหลไปด้วยเช่นกัน
และหลิงหยุนเองก็ไม่มีความสามารถที่จะขจัดจิตวิญญาณของเทพธิดาออกไปจากร่างเพราะหากสามารถทำได้ เขาคงจะทำไปตั้งนานแล้ว และคงจะไม่จำเป็นจะต้องคิดวางแผนให้วุ่นวาย..
ด้วยขั้นพลังของหลิงหยุนเวลานี้เขาไม่กล้าที่จะช่วยหนิงหลิงยู่ให้ฟื้นคืนสติขึ้นมา นั่นเพราะการช่วยหนึ่ง ย่อมหมายถึงช่วยสอง.. ฉะนั้นแล้ว หนิงหลิงยู่จำเป็นจะต้องฟื้นคืนสติขึ้นมาให้ได้เอง หาไม่แล้ว คงจะมิมีผู้ใดช่วยนางได้1
และไม่ว่าจิตวิญญาณดวงไหนจะฟื้นขึ้นมาก่อนหรือหลัง ก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่..
แต่ในความคิดของหลิงหยุนนั้นกว่าที่จิตวิญญาณของเทพธิดาจะฟื้นขึ้นมาได้ คงจะต้องใช้เวลานาน เพราะก่อนที่นางจะถูกหลิงหยุนฟาดด้วยแส้หลิวเทวะวิญญาณจนหมดสติไปนั้น นางได้ใช้วิชาพลังมังกรด้วย ทำให้ยิ่งส่งผลเสียหายต่อจิตวิญญาณของนางอย่างมาก
เหตุการณ์ครั้งนี้คล้ายๆกับที่หลิงหยุนเคยใช้วิชาพลังมังกรต่อสู้เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉู และในขณะนั้นเขาก็ได้ถูกอสุนีบาตสีทองฟาดเข้าใส่ร่าง จนสลบไสลไปนั่นเอง..
ฟิ้ว..
จู่ๆร่างของฉางเฟิงพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงหยุน และครั้งนี้ ดูเหมือนร่างของเขาจะเลือนลางกว่าปกติมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขินอับอาย ชายชราถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เฮ้อ..คิดไม่ถึงจริงๆว่าจิตวิญญาณของนางจะแข็งแกร่ง และมุ่งมั่นที่จะสังหารเจ้าอย่างคลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้! ถึงกับหยิบใช้วิชาพลังมังกร เพิ่มอานุภาพพลังให้กับตนเองถึงสิบเท่า..”
“ท่านอย่าได้ตำหนิตัวเองเลย..”
หลิงหยุนเอ่ยตอบยิ้มๆ“นอกจากนางจะให้วิชาพลังมังกรเพิ่มพลังให้ตนเองนับสิบเท่าแล้ว นางยังจะต้องมีวิชาอื่นที่ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้ตนเองด้วยแน่! จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่าจะไม่สามารถต้านทานนางได้..”
“แต่การที่นางทำเช่นนี้ข้าเชื่อว่านางเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อยทีเดียว!”
ก่อนหน้านี้หนิงหลิงยู่แสร้งทำเป็นเหมือนว่ายอมรับความพ่ายแพ้ และแสร้งทำเป็นอ่อนแอให้เห็น หวังหลอกล่อให้หลิงหยุนตายใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งหลิงหยุนประมาท ขาดการระมัดระวังตัวมากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ และลงมือได้ง่ายขึ้น
หลิงหยุนปรึกษาหารือและใชเ้วลาเตรียมการในเรื่องนี้นานเป็นวัน กว่าที่จะคิดวางแผนออกได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน อีกทั้งตัวเขาเองได้ฝึกบ่มเพาะพลังมา จนเกือบจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้แล้ว มีหรือที่เขาจะยอมให้หนิงหลิงยู่สังหารตายง่ายๆ หาไม่แล้วสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็คงจะสูญเปล่าเป็นแน่
“ฮ่าๆๆความจริงแล้ว ครั้งนี้กระบี่เหินของนางนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งยิ่งนัก หากนางจะใช้กระบี่เหินทำลายกำแพงที่มองไม่เห็น และหนีออกไป ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่นางกลับถูกกระดาษสีทองแผ่นนั้นดึงดูดใจไว้ กระทั่งถูกข้าฟาดด้วยหวายหลิวเทวะวิญญาณจนหมดสติไป ในมือของนางก็ยังคงกำกระดาษสีทองแผ่นนั้นไว้แน่น..”
ในเวลานั้นเองร่างของชายชราโฉวเปิ่นสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพก็ได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบแผ่นกระดาษสีทองยื่นให้กับหลิงหยุน ปากก็เอ่ยออกไปว่า
“หากข้ารู้ว่ามันมันจะพุ่งออกมาช่วยเจ้าเช่นนี้และรู้ว่ามันสามารถต้านทานกระบี่เหินของเทพธิดานั่นได้ ข้ากับฉางเฟิงคงจะซุ่มดูอยู่เงียบๆไม่ออกหน้าแน่..” ปรากฏว่ากระดาษสีทองแผ่นนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพไม่ หลิงหยุนยิ้มกว้างขณะที่รับกระดาษสีทองแผ่นนั้นกลับมา ในขณะที่คนอื่นๆเห็นเพียงแค่สีทองสุกสว่าง แต่หลิงหยุนกลับรู้สึกใจสั่น
นั่นเพราะแม้แต่กระบี่เหินที่มีพลังเพิ่มขึ้นจากเดิมนับสิบเท่ากลับไม่สามารถทำอะไรกระดาษสีทองแผ่นนี้ได้!
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ของวิเศษทั้งสามชิ้นของหลิงหยุน ไม่ว่าจะเป็นพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ และประคำโพธิ ยังไม่สามารถต้านทานพลังของกระบี่เหินที่เพิ่มจากเดินสิบเท่าได้ แต่กระดาษสีทองซึ่งไร้ผู้ควบคุมนี้ กลับสามารถต้านทานไว้ได้อย่างง่ายดาย..
ในการโจมตีของวิเศษทั้งหมดของหลิงหยุนแต่ละครั้งนั้นหนิงหลิงยู่ใช้พลังสูงสุดทุกครั้ง และมีเพียงแค่กระดาษสีทองแผ่นนี้เท่านั้น ที่สามารถยืนหยัดแข็งแกร่งเป็นเกราะป้องกันให้กับหลิงหยุนได้! มีคำอธิบายเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือสิ่งนี้ต้องเป็นของวิเศษระดับเต๋าที่ล้ำเลิศยิ่ง!
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มกว้างพร้อมกับเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลทันที และได้แต่คิดในใจว่า หลังจากสะสางปัญหาครั้งนี้แล้ว เขาคงจะต้องจัดการทำให้มันจดจำตนเองในฐานะเจ้านายให้ได้..
คงจะด้วยเหตุนี้กระมังในพระราชโองการของหยินจิ่วโย่ว จึงได้สั่งไว้ว่า ผู้ที่ได้รับมรดกของพระองค์ไป จะต้องเดินทางไปคุนหลุนเพื่อค้นหาจิ่วติ่ง และหน้าคัมภีร์สีทองลึกลับแผ่นนี้ ก็เป็นกุญแจสำหรับเปิดโลงศพ!
หลังจากเก็บแผ่นกระดาษสีทองเข้าไปแล้วหลิงหยุนก็ได้เรียกประคำโพธิเข้าไปไว้ในแหวนดังเดิม แล้วจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องถามออกไปว่า
“เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในโลกใบเล็กนี้ผู้ที่อยู่ในสำนักกระบี่คุนหลุนไม่เห็นใช่หรือไม่”
บริเวณนี้อยู่ห่างไกลจากสำนักกระบี่คุนหลุนมากซึ่งยอดฝีมือคนอื่นๆนั้น ย่อมไม่สามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วที่หลิงหยุนถาม เขาจึงหมายถึงชียวิ๋นจื่อนั่นเอง!
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลย!เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราสองคนช่วยกันสร้างโลกใบเล็กนี้ขึ้นมา จะมิมีผู้ใดได้รู้เห็นเป็นอันขาด!”
หลังจากได้ฟังคำยืนยันหนักแน่นเช่นนี้หลิงหยุนจึงค่อยรู้สึกคลายความกังวลใจลงไปได้!
“เอาล่ะ!พวกท่านทั้งสองช่วยรักษาโลกใบเล็กนี้ไว้อีกครู่หนึ่งก่อน ข้าจะกลับไปทำความเข้าใจกับบรรดาเจ้าสำนักที่อยู่ในค่ายกลปราการนั่นก่อน..”
หลังจากกล่าวจบหลิงหยุนก็ได้เก็บแส้กลับไป และอุ้มร่างไร้สติของหนิงหลิงยู่ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะใช้เท้าเทวะเทียนจู๋ทงก้าวออกไปทันที
และเพียงแค่พริบตาเดียวร่างของหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ ก็ได้ไปปรากฏอยู่ด้านหน้าของค่ายกลปราการแห่งสำนักกระบี่คุนหลุน
“ท่านเจ้าสำนักทุกท่านอย่าได้กังวลใจไปข้าหลิงหยุนเพียงแค่มีคำพูดเล็กน้อย ที่จะต้องกล่าวกับทุกท่านเท่านั้น!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร