Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1657

บทที่ 1657 : ตระกูลหลิงในคุนหลุน
  “ขอบคุณอาวุโสสำหรับคำชี้แนะ!”
  หลิงหยุนเอ่ยขอบคุณชียวิ๋นจื่อและได้แต่แอบคิดว่า เขาคงจะต้องกลับไปศึกษาคัมภีร์ซานไห่จิง คัมภีร์แห่งภูเขาและท้องทะเลอย่างจริงจังเสียที..
  “ภายในคุนหลุนมีพลังชีวิตอยู่หนาแน่นมากใช่หรือไม่”หลิงหยุนไม่รอช้า รีบเอ่ยถามคำถามใหม่ทันที
  “คุนหลุนมีพลังชีวิตอยู่อย่างหนาแน่นแต่ก็มีบางพื้นที่ที่เบาบางยิ่ง แต่หากเปรียบเทียบกับโลกใบนี้ คุนหลุนมีพลังชีวิตหนาแน่นกว่านับร้อยเท่าทีเดียว ไม่ว่าอย่างไร คุนหลุนย่อมเป็นสถานที่ที่เหมาะกับผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังเช่นเราแน่..”
  หลิงหยุนฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนักนั่นเพราะหากพลังชีวิตในคุนหลุนหนาแน่นกว่าโลกใบนี้นับร้อยเท่า ย่อมหมายความว่า ที่นั่นมีพลังชีวิตหนาแน่นกว่าโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ของเขาเสียอีก นับเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว!
  “ที่นั่นมีความเจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด”
  หลังจากได้ยินคำถามนี้ของหลิงหยุนชียวิ๋นจื่อถึงกับยิ้มออกมา พร้อมกับเอ่ยชม “นี่เป็นคำถามที่ดียิ่ง และบ่งบอกถึงจิตใจเบื้องลึกของเจ้า ข้าฟังแล้วช่างรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก!”
  ชียวิ๋นจื่อยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า “ในคุนหลุน มีประเทศต่างๆเช่นกัน ในแต่ละประเทศมีทั้งนักปราชญ์ เกษตรกร พ่อค้า และยังมีชาวป่าที่ดื่มโลหิตสดๆอยู่ แม้คุนหลุนจะกว้างใหญ่เพียงใด แต่ก็ไร้ซึ่งเทคโนโลยีดังเช่นที่บนโลกใบนี้มี!”
  หลังจากได้ฟังหลิงหยุนก็ถึงกับพึมพำออกมาด้วยความสงสัย “ที่นั่นมีอสูรปีศาจหรือไม่”
  ชียวิ๋นจื่อได้ยินไม่ถนัดนักจึงได้แต่เอ่ยถามกลับไปว่า “เจ้าถามว่าอะไรรึ”
  หลิงหยุนปิดปากเงียบและได้แต่คิดในใจว่า ดูเหมือนเขาจะถามมากเกินไป จึงได้เปลี่ยนมาถามเรื่องอื่นแทน
  “ภายในคุนหลุนมีผู้ฝึกฝนบ่มเพาะในขั้นใดบ้าง และผู้ที่นับว่ามีขั้นพลังบ่มเพาะสูงสุดนั้น อยู่ในขั้นใดงั้นรึ?”
  นี่เป็นเรื่องที่หลิงหยุนเป็นกังวลและต้องการล่วงรู้มากที่สุด!
  “เท่าที่ข้าล่วงรู้มาภายในคุนหลุนมีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถเข้าสู่ขั้นอมตะได้แล้ว แต่เป็นเพราะท่านเหล่านี้ล้วนปิดตัวเอง แต่ก็ยังมีผู้เคยพบเห็นอยู่บ้าง ซึ่งนับว่าน้อยนัก ข้าจึงเคยได้ยินผู้คนกล่าวขานถึงให้ได้ยิน..”
  หลังจากที่ได้ยินว่ามีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นอมตะได้ หลิงหยุนถึงกับแอบตื่นเต้นดีใจ แต่ก็แอบอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ว่า
  “คุนหลุนมิมีผู้สำเร็จขั้นอมตะเข้าสู่มหายานหรือขึ้นสู่สรวงสวรรค์เลยรึ”
  ชียวิ๋นจื่อส่ายหน้าไปมาพร้อมเอ่ยตอบไปว่า “ข้าอยู่ในคุนหลุนมานานกว่าหกสิบปี มิเคยได้ยินว่ามีผู้ใดเข้าสู่ขั้นนั้นเลย แต่..”
  “แต่อะไรรึ”
  “แต่ข้าเคยได้ยินมาว่ามีอสูรปีศาจผู้ยิ่งใหญ่มากมายที่สามารถเข้าสู่ขั้นที่เจ้าถามเมื่อครู่ พวกมันครอบครองขุนเขา หรือไม่ก็ทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างไกลนับหมื่นลี้.. สถานที่เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีพลังชีวิตหนาแน่นกว่าที่ใดๆ นับเป็นดินแดนล้ำค่าซึ่งอุดมไปด้วยสมบัติสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วน..”
  แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันที!
  ‘หรือคุนหลุนจะเป็นดินแดนจำลองของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่กันนะ’
  “การจะได้กลับแดนเกิดของข้าอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วสินะ!”
  ชียวิ๋นจื่อสังเกตเห็นว่าหลิงหยุนมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้แต่นึกประหลาดใจ จนต้องเอ่ยถามออกไปว่า  “คุนหลุนมีอสูรปีศาจร้ายออกอาละวาดอยู่มากมายเช่นนี้เจ้ามิได้รู้สึกหวาดกลัวเลยรึ”
  หลิงหยุนหัวเราะร่วนก่อนจะตอบกลับไปว่า “อาวุโส ท่านจะให้ข้าเป็นกังวลสิ่งใดกัน ในเมื่อข้าเองยังมิได้เข้าไปด้วยซ้ำ เหตุใดจึงต้องกังวลไปล่วงหน้าเล่า?”
  “…..”
  ชียวิ๋นจื่อได้แต่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยและได้แต่คิดในใจว่า ‘จริงของหลิงหยุน! เขายังอยู่บนโลกใบนี้ ยังมิได้เข้าไปคุนหลุน นี่ข้าเอ่ยถามอันใดออกไป’
  ชียวิ๋นจื่อถึงกับตกใจเมื่อรู้ตัวว่าดูเหมือนตนเองกำลังรอคอยที่จะได้พบหลิงหยุนในคุนหลุนอยู่ และได้แต่แอบหวังว่า หากเรื่องราวบาดหมางระหว่างคุนหลุนกับตระกูลหลิงสามารถคลี่คลายลงได้ ตระกูลหลิงจะกลายเป็นกำลังสำคัญของคุนหลุนในทันที!
  แต่เมื่อนึกถึงสัมพันธภาพระหว่างคุนหลุนกับตระกูลหลิงและเหตุการณ์ใหญ่โตที่คนตระกูลหลิงได้เคยก่อไว้หลังจากเข้าคุนหลุนแล้ว ชียวิ๋นจื่อจึงได้แต่คิดว่า ความหวังของตนนั้นช่างน่าขัน และไร้สาระสิ้นดี! ความหวังของเขายากจะเกิดขึ้นได้ เพราะระหว่างตระกูลหลิงกับคุนหลุนนั้น ไม่ต่างจากน้ำกับไฟ ที่ยากจะอยู่ร่วมกันได้!
  หลังจากที่คิดได้เช่นนั้นชียวิ๋นจื่อได้แต่จ้องมองหลิงหยุน พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไปว่า
  “สหายน้อยหลิงหยุนสิ่งที่เจ้าถามมาทั้งหมดเมื่อครู่ ล้วนเป็นเรื่องราวพื้นๆ ทั่วไปภายในคุนหลุนเท่านั้น”
  “หรือเจ้าไม่อยากจะรู้ว่าหลังจากที่คนตระกูลหลิงเข้าไปในคุนหลุนแล้ว พวกเขาทำสิ่งใดบ้างในเวลานั้น หรือเป็นเพราะเจ้าเองก็ยังมิรู้ว่า บรรพชนตระกูลหลิงได้เคยเข้าคุนหลุนมาก่อนแล้ว?”
  ความจริงแล้วเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่หลิงหยุนควรจะต้องถามเขามากกว่า แต่หลิงหยุนกลับไปถามเรื่องผู้คน สภาพแวดล้อม แม่น้ำ ขุนเขา แต่กลับมิปริปากถามเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหลิงเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชียวิ๋นจื่ออดที่จะแปลกใจไม่ได้ จนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา!
  ‘หึ!ในที่สุดเจ้าก็เอ่ยออกมาจนได้! ใช่ว่าข้าไม่อยากถาม แต่เจ้ายืนกรานที่จะไม่ตอบเองตั้งแต่แรก หากข้าเร่งรัดถามเรื่องเหล่านี้ก่อน เจ้าก็คงจะระแวดระวังในการตอบ ข้าก็จะมิได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใด..’
  “เอ่อ..ขอบอกอาวุโสตามตรง เรื่องที่บรรพชนตระกูลหลิง เขาคุนหลุนไปเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้น ข้าในฐานะผู้นำตระกูลหลิงได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็เอ่ยบอกอย่างตรงไปตรงมา “แต่เพราะข้าเห็นว่า อาวุโสไม่ต้องการที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ข้าจึงมิกล้าเอ่ยปากถาม เพราะเกรงว่าอาวุโสอาจจะรู้สึกลำบากใจ..”
  แต่ถึงแม้ชียวิ๋นจื่อจะไม่ยอมปริปากเล่าให้ฟังหลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกกังวล เพราะเมื่อใดที่เขาเข้าคุนหลุนได้ เขาย่อมสามารถสืบสาวราวเรื่องด้วยตนเองได้
  ที่สำคัญหลิงหยุนหาได้แยแสคุนหลุนนัก สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือตระกูลหลิงต่างหาก!
  ชียวิ๋นจื่อหัวเราะถูกอกถูกใจพร้อมกับโบกไม้โบกมือในขณะที่เอ่ยตอบหลิงหยุนไปว่า “ความจริงก็มิได้ลำบากใจอะไรนัก เพราะเรื่องราวระหว่างตระกูลหลิงกับคุนหลุนนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่คนในคุนหลุนซึ่งอยู่ทางฝั่งดินแดนบูรพาล้วนล่วงรู้กันดี..”
  “ตระกูลหลิงของเจ้ากับผู้ฝึกตนในดินแดนฝั่งบูรพาเปรียบเสมือนศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจเข้ากันได้ดั่งน้ำกับไฟทีเดียว..”
  แม้ว่าหลิงหยุนจะรู้สึกตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยถาม เพราะไม่ต้องการเอ่ยขัดชียวิ๋นจื่อขึ้นมาในระหว่างที่เล่า..
  ยิ่งเขาได้ข้อมมูลจากชียวิ๋นจื่อมากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น!
  “เมื่อครั้งที่บรรพชนตระกูลหลิงเดินทางเข้าคุนหลุนนั้นข้าเองก็ได้อยู่ในคุนหลุนมาร่วมยี่สิบปีแล้ว ครั้งนั้น ข้าลงเขาไปฝึกฝนพอดีจึงได้รู้เรื่องนี้อย่างละเอียด..”
  ชียวิ๋นจื่อยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจคล้ายจะบอกกับหลิงหยุนว่า เขาเลือกถามได้ถูกคนแล้ว หลิงหยุนเองก็ได้แต่ยิ้มตอบ..
  “การที่บรรพชนตระกูลหลิงเข้าไปในครั้งนั้นก็มิได้สร้างความเสียหายให้แก่คุนหลุนแต่อย่างใด และนับเป็นเรื่องปกติที่คนตระกูลหลิงจะเข้าไปที่นั่น ซึ่งคุนหลุนก็ได้จัดหาที่พักชั่วคราวไว้ให้พักพิง..”
  “แต่หลังจากนั้นไม่ถึงปีคนตระกูลหลิงก็ถูกล้อมโจมตี สาเหตุมาจากท่อนไม้ที่พวกเขานำเข้าไปในคุนหลุนด้วยนั่นเอง ไม้ท่อนนั้นช่างมีความอัศจรรย์ยิ่งนัก หลังจากถูกนำเข้าไปในเวลาไม่ถึงปี กลับทำให้ต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉาในคุนหลุน กลับมาเติบโตสูงใหญ่ ผลิกิ่งก้านใบมากมาย..”
  “การถูกปิดล้อมโจมตีในครั้งนั้นทำให้คนตระกูลหลิงถูกสังหารตายไปกว่าครึ่ง ทำให้สมาชิกตระกูลหลิงยี่สิบกว่าชีวิต รอดมาได้เพียงแค่เก้าคนเท่านั้น..”
  “หลังการถูกล้อมโจมตีในครั้งนั้นสมาชิกตระกูลหลิงที่รอดชีวิต ก็ได้นำพาหลิวเทวะต้นนั้นหลบหนีออกไปจากที่พักพิงชั่วคราว และหลบหนีการไล่ล่าของชนเผ่าบูรพา ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาของเผ่าอสูร ก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย..”
  “แปดปีหลังจากนั้นสมาชิกตระกูลหลิงสามคนก็ได้เดินทางออกมาจากหุบเขาแห่งนั้น และแอบกลับไปยังดินแดนบูรพา สืบหาสำนักที่เคยล้อมสังหารคนตระกูลหลิงเมื่อหลายปีก่อน และเริ่มแก้แค้นพวกเขาคืนทันที..”
  หลังจากที่เล่ามาถึงตรงนี้ชียวิ๋นจื่อก็ได้จ้องมองหลิงหยุน พร้อมกับอธิบายให้เขาฟังต่อทันที “ข้าเชื่อว่า เจ้าย่อมเข้าใจความบาดหมางของผู้ฝึกบ่มเพาะตนได้เป็นอย่างดี ตราบใดที่ความแค้นเกลียดชังปรากกฏขึ้นในใจ ยากนักที่จะกล่าวว่าฝ่ายใดผิด และฝ่ายใดถูก..”
  หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วยเพราะนั่นคือความจริง!
  “สมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามนั้นแข็งแกร่งยิ่งนักพวกเขาสามารถเอาชนะศัตรูจากสำนักต่างๆได้อย่างง่ายดาย และมากมาย และนั่นคือสาเหตุที่คนเหล่านั้นโกรธแค้นตระกูลหลิง จนถึงกับส่งยอดฝีมือขั้นจินตันในสำนัก ออกไล่ล่าสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลหลิง!”
  “เท่าที่ข้าได้ยินได้ฟังมาท้ายที่สุดสมาชิกตระกูลหลิงสองคนถูกสังหารตาย ส่วนอีกคนหนีรอดไปได้!”
  “ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้เดียวที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นจินตันนามว่าหลิงอี้..”
  หลิงหยุนถึงกับใจเต้นระรัวเขาไม่คาดคิดว่า ชียวิ๋นจื่อจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ตนเองฟังอย่างละเอียด ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อชายชรามากยิ่งขึ้น
  หลิงอี้นั้นมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของหลิงลี่และนับเป็นผู้ที่มีพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหลิง เมื่อครั้งที่เข้าคุนหลุนนั้น หลิงอี้มีอายุเพียงแค่สามสิบเก้าเท่านั้น มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่เช่นเดียวกับหลิงหยุนในเวลานี้!
  “ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหลังจากที่หลิงอี้หลบหนีไปได้ อีกเพียงแค่ห้าปีหลังจากนั้น เขาก็ปรากฏขึ้นที่ดินแดนบูรพาในคุนหลุนอีกครั้ง และครานี้เขาก็ได้เข้าสู่ขั้นหยวนอิงแล้ว!”
  “และในครั้งนี้เพียงแค่หลิงอี้ผู้เดียว ก็สามารถถล่มสำนักต่างๆ ที่เคยล้อมสังหารตระกูลหลิงได้ชนิดถอนรากถอนโคน ยอดฝีมือขั้นจินตันที่เคยไล่สังหารสมาชิกตระกูลหลิงทั้งสามในครั้งนั้น ก็ได้ถูกหลิงอี้สังหารตายด้วยเช่นกัน ส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสั่งการในครั้งนั้น ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีเพียงยอดฝีมือขั้นหยวนอิงเท่านั้นที่หลบหนีไปได้..”
  เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ในที่สุดชียวิ๋นจื่อก็ได้แต่เอ่ยขึ้นยิ้มๆว่า “เห็นหรือไม่.. ตระกูลหลิงของเจ้าเป็นนักสู้มากเพียงใด และเรื่องนี้ผู้คนในดินแดนบูรพาต่างก็ล่วงรู้กันดี..”   แม้สีหน้าท่าทางภายนอกหลิงหยุนจะยังดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นกับฮึกเหิม!
  ภายในระยะเวลาเพียงแค่เก้าปีที่เข้าคุนหลุนก็สามารถฝึกฝนบ่มเพาะจนสามารถเข้าสู่ขั้นจินตันได้ และอีกห้าปีก็สามารถทะลวงสู่ขั้นหยวนอิงได้ นับว่าบรรพชนตระกูลหลิงช่างมีพรสวรรค์ล้ำเลิศยิ่งนัก!
  แต่หลิงหยุนย่อมรู้ดีว่าส่วนหนึ่งมาจากหลิวเทวะวิญญาณ และการฝึกลมปราณตามคัมภีร์เสวียนหวง ซึ่งเป็นมรดกประจำตระกูลหลิง
  “การต่อสู้ในครั้งนั้นได้ทำให้ชื่อของตระกูลหลิงขจรขยายไปทั่วทั้งคุนหลุน แต่ครั้งนั้นหลิงอี้ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และหลังจากนั้นเขาก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง!”
  “แต่นับเป็นความโชคร้ายที่ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น และได้ถูกหลิงอี้ทำร้ายจนพิการ คือศิษย์น้องของผู้บ่มเพาะตนที่แข็งแกร่งที่สุดในคุนหลุน เช่นนี้แล้วจะมิมีการแก้แค้นคืนได้อย่างไรกันเล่า อีกทั้งการฝึกฝนที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของหลิงอี้นั้น ก็ได้ทำให้อาวุโสบางคนเริ่มเอะใจ และนึกถึงต้นหลิวยักษ์ของตระกูลหลิงทันที!”
  “เหล่าผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นหยวนอิงหลายคนได้รวมตัวกันออกตาหากหลิงอี้ จนกระทั่งในที่สุด ก็ได้ค้นพบที่ซ่อนของเหล่าสมาชิกตระกูลหลิง และเตรียมที่จะบุกเข้าไปทำลายให้สิ้นซาก..”
  “แต่เมื่อทั้งหมดเดินทางไปถึงก็ได้พบว่า ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว กระทั่งหลิวเทวะต้นใหญ่นั้น ก็ได้หายไปด้วยเช่นกัน!”
  “ครั้งนี้คาดว่าสมาชิกตระกูลหลิงจะหนีเข้าไปอยู่ในถิ่นทุกันดาร และหายไปนานกว่ายี่สิบปี จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน หลิงอี้ก็ได้ปรากฏตัวที่ดินแดนบูรพาอีกครั้ง..”
  แต่แล้วจู่ๆชียวิ๋นจื่อหยุดนิ่งไปดื้อเช่นๆนั้น!
  เขารู้สึกว่าตนเองได้บอกเล่าออกไปมากมายแล้วจึงได้หยุดไว้เพียงเท่านั้น ซึ่งหลิงหยุนเองก็เข้าใจได้ดีว่า ที่ชียวิ๋นจื่อยอมเล่าออกมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะเห็นแก่แหวนพื้นที่ที่ได้รับไป
  แต่หลิงหยุนก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้..
  “เมื่อห้าปีก่อนที่หลิงอี้ปรากฏตัวนั้นเขาอยู่ในขั้นใดหรืออาวุโส”
  แต่ชียวิ๋นจื่อกลับส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบหลิงหยุนไปว่า “ใช่ว่าข้าอยากจะปิดบังเจ้า แต่เป็นเพราะครั้งนั้นข้าเองมัวแต่เก็บตัวฝึกวิชา จึงมิได้ล่วงรู้เรื่องนี้..”
  ��

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร