บทที่ 1660 : ชำระกายาครั้งใหญ่
หลิงหยุนจัดการถอนค่ายกลและเรียกหินพลังชีวิตเข้าไปเก็บไว้ในแหวนตามเดิม จากนั้น จึงได้เดินกลับไปที่ห้องพักของหนิงหลิงยู่ ก่อนจะอุ้มร่างหลับไหลของนางขึ้นมา พร้อมกับหันไปเอ่ยกับชียวิ๋นจื่อว่า
“อาวุโสพวกเราไปกันได้แล้ว!”
จากนั้นทั้งคู่ก็ได้เหาะขึ้นไปบนท้องนภา..
ระยะทางเพียงแค่หนึ่งร้อยกิโลเมตรนั้นเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทั้งคู่ก็สามารถเหาะไปถึงได้แล้ว แต่ชียวิ๋นจื่อดูเหมือนจะจงใจเหาะให้ช้าลง เขาหันมองไปทางร่างไร้สติของหนิงหลิงยู่ ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับเอ่ยถามด้วยหน้าเป็นกังวล
“หลิงหยุนน้องสาวของเจ้าคงจะอาการหนักมาสินะ”
“ขอบอกกับอาวุโสตามตรงอาการของนางหนักมากจริงๆ!” หลิงหยุนยอมรับกับชียวิ๋นจื่อไปตามตรงก่อนจะกำชับกับชายชราว่า “อาวุโส ข้าเชื่อว่าท่านคงจะคาดเดาปัญหาของน้องสาวข้าได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงใคร่ขอร้องอาวุโสให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ขออย่าได้แพร่งพรายออกไป!”
“นางเป็นเทพธิดามาจุติจริงๆรึ”ชียวิ๋นจื่อเอ่ยถาม
หลิงหยุนส่ายหน้าไปมา“ขอบอกอาวุโสตามตรง ในร่างของนางมีจิตวิญญาณสองดวง เมื่อครู่ที่ต่อสู้กับพวกท่าน เป็นจิตวิญญาณอีกดวง หาใช่จิตวิญญาณของน้องสาวข้าไม่! เวลานี้ จิตวิญญาณของหลิงยู่ถูกสะกดไว้ หนิงหลิงยู่จึงได้มีพฤติกรรมแปลกๆ อย่างที่ท่านเห็นเมื่อครู่..”
“เจ้าหาหนทางแก้ไขปัญหานี้ได้แล้วหรือไม่”
ยิ่งชียวิ๋นจื่อได้ฟังก็ยิ่งอยากรู้มากยิ่งขึ้น..
“เวลานี้อาจจะยังไม่สามารถคิดค้นหาวิธีได้แต่ในวันข้างหน้าที่ขั้นพลังบ่มเพาะของข้าก้าวหน้ากว่านี้ อาจจะหาหนทางแก้ไขได้”หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“หลิงหยุนเนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ ข้าจึงต้องสั่งให้จ้าวคุนหลุนกับหวังคุนหลุนทำเช่นนั้น..”
ชียวิ๋นจื่อมีสีหน้าท่าทางที่กระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเพราะเขาเป็นคนสั่งให้ผู้อารักขาประตูคุนหลุนทั้งสองคนทำเช่นนั้นเอง
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า“อาวุโส อย่าได้กังวลใจเรื่องนั้นไปเลย ข้าเข้าใจดี! ส่วนผู้อารักขาทั้งสองนี้ ข้าได้ลบความจำในคืนนี้ของเขาทิ้งไปแล้ว ฉะนั้น พวกเขาย่อมจำไม่ได้แน่ว่าอาวุโสเคยสั่งอะไรไป!”
ดวงตาทั้งคู่ของชียวิ๋นจื่อถึงกับเบิกกว้างและได้แต่คิดว่า หลิงหยุนมักมีเรื่องให้เขาต้องประหลาดใจอยู่เสมอ เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“หลิงหยุนข้าสัมผัสได้ว่า อัตราความเร็วในการเหาะของเจ้านั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นจินตันเลยแม้แต่น้อย เจ้าทำได้อย่างไรกัน” “ขอบอกอาวุโสตามตรงเส้นทางการฝึกบ่มเพาะพลังนั้น นับเป็นเส้นทางที่โหดร้าย และเต็มไปด้วยอันตราย นอกเหนือจากเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งแล้ว การหนีหลบหนีศัตรูที่เหนือกว่า นับเป็นหนทางที่ดีที่สุด..”
ชียวิ๋นจื่อถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้งแม้หลิงหยุนจะมิได้ตอบคำถามของตน แต่คำพูดของหลิงหยุนก็มีเหตุมีผลยิ่งนัก นั่นเพราะการมีชีวิตรอดนับเป็นเรื่องที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!
หลังจากที่ได้สนทนากันในระหว่างทางมาครู่หนึ่งในที่สุดทั้งสองก็ได้มาถึงริมลำธาร หลิงหยุนจึงจัดการถอนค่ายกลวราหก พร้อมกับเอ่ยบอกชียวิ๋นจื่อว่า
“พวกเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น!”
หวังชงเซียวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นหลิงหยุนปรากฏกาย
“นี่คืออาวุโสชียวิ๋นจือมือกระบี่ขั้นจินตัน!” หวังชงเซียวพยักหน้าและโน้มกายลงเล็กน้อย ส่วนชียวิ๋นจื่อนั้นเพียงแค่พยักหน้า และยิ้มให้กับหวังชงเซียวเป็นการทักทาย
จากนั้นชียวิ๋นจื่อก็ได้หันมองไปทางผู้อารักขาประตูคุนหลุนทั้งสอง และพบว่ามิได้บาดเจ็บสาหัสอะไรนัก และหลิงหยุนเองก็เพิ่งบอกว่า เขาได้ทำลายความทรงจำในคืนนี้ของผู้อารักขาประตูทั้งสองแล้ว..
“อาวุโสข้าจำเป็นต้องรีบรักษาอาการของน้องสาวโดยเร็ว..”
จากนั้นหลิงหยุนจึงรีบโน้มศรีษะลงพร้อมกับเอ่ยต่อในทันที “ไว้พบกันโอกาสหน้าอาวุโส!”
“เช่นกัน!ข้าขอลาไปก่อน!”
ชียวิ๋นจื่อเอ่ยร่ำลาเช่นกันแต่ก่อนที่ชายชราจะจากไป หลิงหยุนก็ได้หัวเราะออก พร้อมตอบกลับไปว่า
“อาวุโสคงไม่นานนักหรอก ที่ท่านกับข้าจะได้พบกันอีกครั้ง!” จากนั้นหลิงหยุนเองก็ได้อุ้มหนิงหลิงยู่ เหาะจากไปพร้อมกับหวังชงเซียว..
หลังจากที่เหาะไปได้ระยะหนึ่งหลิงหยุนก็ได้หันไปเอ่ยกับหวังชงเซียวว่า “หวังชงเซียว เจ้าไปที่หุบเขาพบกับเอ็ดเวิร์ด ดูว่าหลี่เจี้ยนกังสามารถจัดการกับยอดฝีมือกว่าร้อยคนนั่นได้หรือไม่ หลังจากนั้น ก็กลับไปปักกิ่ง บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ ให้ท่านปู่กับท่านพ่อของข้าล่วงรู้ และบอกพวกท่านทั้งสองว่า ข้าจะกลับตระกูลหลิงในอีกไม่ช้านี้..”
“หวังชงเซียวน้อมรับคำสั่ง!”
แต่ก่อนจะไปหวังชงเซียวก็ได้หันไปถามหลิงหยุนว่า “แล้วหลี่เพียวหยางเล่า”
“สำหรับหลี่เพียวหยางเจ้าบอกเขาไปว่า ข้าสั่งให้ไปคอยเฝ้าดูเหตุการณ์ภายในตระกูลหนิง จนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่จากข้า”
หลังจากสั่งการจบแล้วหลิงหยุนก็ได้ใช้ก้าวเทวะเทียนจู๋ทง พาหนิงหลิงยู่เดินกลับไปยังหน้าสำนักกระบี่คุนหลุนอีกครั้ง และเพียงแค่สิบกว่าก้าวก็ไปถึงจุดหมายแล้ว เมื่อไปถึงหลิงหยุนก็ได้เอ่ยขึ้นว่า“อาวุโสทั้งสอง ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว พวกท่านสามารถถอนโลกจำลองใบเล็กนี้ได้แล้ว!”
เฉิงเฟิงและโฉวเปิ่นจัดการสลายโลกจำลองใบเล็กนี้ทันทีก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีทองสองเส้น เส้นหนึ่งพุ่งเข้าสู่จุดซือไห่ ส่วนอีกเส้นพุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุน
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้อุ้มร่างของหนิงหลิงยู่ เหาะออกจากสำนักกระบี่คุนหลุน มุ่งหน้ากลับไปที่บ้านตระกูลฉิน เพราะผู้ใดก็คงจะดูแลหนิงหลิงยู่ไม่ได้ดีไปกว่าฉินจิวยื่อเป็นแน่
เวลานี้ได้เข้าสู่เวลาตีสามของเช้าวันใหม่แล้วแต่หลิงหยุนยังมีเรื่องด่วนต้องจัดการก่อน นั่นเพราะลมหายใจของหนิงหลิงยู่เวลานี้ ฟังดูปั่นป่วนยิ่งนัก!
เพื่อต้องการสังหารหลิงหยุนให้ได้นางถึงกับเปลี่ยนดอกบัวทองคำทั้งสามสิบสามดอก กลับเป็นพลังอมตะดูดกลับเข้าไปในร่าง อีกทั้งยังใช้วิชาพลังมังกรเพิ่มอานุภาพให้กับตนเองขึ้นถึงสิบเท่า
ในลักษณะเช่นนี้แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะสามารถสังหารหลิงหยุน นางย่อมต้องได้รับผลกระทบที่รุนแรงยิ่ง และคงต้องใช้เวลานานนับเดือน กว่าจะสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับไปอยู่ในจุดที่สมบูรณ์สูงสุดดังเดิม
อีกทั้งเวลานี้จิตวิญญาณทั้งสอง ก็ได้ถูกหลิงหยุนมัดด้วยเชือกหลิวเทวะวิญญาณไว้อย่างแน่นหนาอีกด้วย!
เวลานี้หนิงหลิงยู่กำลังหลับไหล แต่พลังอมตะยังคงพวยพุ่งอยู่ภายในร่างอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่าจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา แสงสว่างจากพลังอมตะภายในร่าง ส่องผ่านทะลุผิวหนังออกมาให้เห็นจางๆ
หากเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นผลลัพธ์จะมีอยู่เพียงสองทางเท่านั้นคือ ร่างกายของนางจะได้รับความเสียหายอย่างสาหัสสากรรจ์ แม้หลิงหยุนจะสามารถช่วยชีวิตของนางได้ แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อการฝึกบ่มเพาะพลังของนางในวันข้างหน้า ไม่เพียงต่อไปจะยากลำบากในการทะลวงขั้นพลัง แต่นางอาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้!
ส่วนผลลัพธ์ที่สองนั้นจะยิ่งเลวร้ายมากกว่าหากกายอัปสรของนางพังเสียหาย หนิงหลิงยู่ก็จะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก และจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หรือคนตายที่มีลมหายใจเท่านั้นเอง..
หากเป็นผู้อื่นที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องร้อนอกร้อนใจทำอะไรไม่ถูก แต่หาใช่หลิงหยุนไม่ เขามีวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้ง่ายๆ
ขอเพียงแค่ดูดซับเอาพลังอมตะที่พุ่งพล่านอยู่ภายในร่างของหนิงหลิงยู่เวลานี้ออกมาและจัดการรักษาเส้นลมปราณให้กับนาง เพียงแค่นี้นางก็ปลอดภัยแล้ว..
หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพึมพำเบาๆ “เฮ้อ.. คิดไม่ถึงว่าพลังอมตะที่ข้าถ่ายเทไว้ในร่างของเจ้า ท้ายที่สุดกลับเป็นข้าที่ได้นำไปใช้ในการฝึกบ่มเพาะพลังแทน!
หลังจากนั้นหลิงหยุนได้สร้างค่ายกลวราหก และค่ายกลหลุมพลังไว้รอบตัวเขา และหนิงหลิงยู่ ก่อนจะค่อยๆ วางร่างของนางลงนั่งกับพื้น ส่วนตัวเขานั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลัง พร้อมแนบฝ่ามือทั้งสองลงไปบนแผ่นหลังของหญิงสาว
บูม!
เปลวไฟห้าธาตุหยิน-หยางปรากฏขึ้นปกคลุมร่างทั้งสองไว้ในทันที..
จนกระทั่งผ่านไปกว่าสามชั่วโมงหลิงหยุนไม่รู้ว่าดูดซับเอาพลังอมตะในร่างของหนิงหลิงยู่เข้าไปมากเพียงใด แม้ว่าครั้งนี้จุดตันเถียนของหลิงหยุน จะไม่สามารถแปลงพลังอมตะที่ดูดซับมานี้ ให้กลายเป็นพลังอมตะชนิดเดียวกับในร่างของตนได้ แต่นับว่าโชคดี ที่ในร่างของเขามีทั้งพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ สมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพ หรือแม้แต่กระบี่จักรพรรดิมังกร ที่ช่วยกันดูดซับพลังอมตะเหล่านี้เข้าไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากของวิเศษทั้งสามชิ้นแล้วหลิงหยุนยังสังเกตเห็นว่า กระทั่งมังกรทองห้าเล็บที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขา ยังดูดซับเอาพลังอมตะเหล่านี้เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งเส้นลมปราณ จุดตันเถียน และจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนเวลานี้ ก็ได้ถูกหลอมโดยพลังอมตะที่เคลื่อนผ่าน แม้จะมองไม่เห็นประโยชน์อันใดในตอนนี้ แต่นี่เปรียบเสมือนการได้ชำระกายาครั้งใหญ่อีกครั้งของหลิงหยุน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการฝึกบ่มเพาะพลังในขั้นก่อสร้างรากฐานของเขาในวันข้างหน้า และจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว..
เวลานี้พลังอมตะในร่างของหนิงหลิงยู่ ได้ถูกหลิงหยุนดูดซับออกไปกว่าเก้าสิบส่วน เหลือเพียงแค่สิบส่วนเท่านั้น ที่หลิงหยุนกำลังใช้เดินลมปราณไปทั่วร่างของหนิงหลิงยู่ เพื่อทำการรักษาเส้นลมปราณ และจุดตันเถียนของนาง
กว่าที่หลิงหยุนจะเสร็จสิ้นกระบวนการในการช่วยหนิงหลิงยู่ท้องฟ้าก็สว่างเจิดจ้า ดวงตะวันปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว
หลิงหยุนจัดการถอนค่ายกลพร้อมกับจ้องมองแผ่นหลังของหนิงหลิงยู่แน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยบอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลิงยู่อย่าได้หวาดกลัวไป ทุกอย่างจบลงแล้ว พี่ใหญ่จะพาเจ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
หลังจากเอ่ยจบหลิงหยุนก็ได้ลุกขึ้นอุ้มร่างของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเหาะออกไปในทันที
…….
และเพียงไม่นานนักหลิงหยุนก็พาหนิงหลิงยู่มาถึงบ้านตระกูลฉินแล้ว..
ฉินจิวยื่อกำลังยืนอยู่ภายในสวนหน้าบ้านเพียงลำพังแต่แล้วจู่ๆ หลิงหยุนก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมกับอุ้มหนิงหลิงยู่ไว้ในอ้อมแขน เขาจ้องมองฉินจิวยื่อที่กำลังยืนอยู่ที่ศาลากลางน้ำ
นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนจากไปตั้งแต่เมื่อวานฉินจิวยื่อก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ และเฝ้าแต่ยืนอยู่ในศาลากลางน้ำตลอดทั้งวันทั้งคืน เฝ้ารอคอยการกลับมาของหลิงหยุน หลิงหยุนใช้พลังเหนือธรรมชาติเรียกหินพลังชีวิตออกมาสร้างเป็นค่ายกลถึงสามชั้น คือค่ายกลสะกัดวิญญาณ ค่ายกลวราหก และค่ายกลนวสังหารขึ้นทันที
จากนั้นจึงได้ร้องบอกฉินจิวยื่อ “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว! ข้าพาหลิงยู่กลับมาได้อย่างปลอดภัย!”
ฉินจิวยื่อหันหลังกลับไปหาหลิงหยุนทันที!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร