บทที่ 669 : คืนฝนตกเมื่อสิบแปดปีก่อน!
หลังจากที่ได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือหลิงหยุนหลวงจีนเฉวียนจื้อก็มีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ลังเลที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าหลิงหยุน ลมปราณที่เก็บซ่อนไว้ได้พวยพุ่งออกมาจนจีวรของหลวงจีนชราปลิวไสว..
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งจ้องมองหลวงจีนชราด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบเป็นปกติถึงแม้ว่าดวงตาของหลิงหยุนจะสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือของเขาก็เอื้อมไปตบบ่าของมู่หลงเฟยจื่ออย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นการปลอบปะโลมว่าไม่มีอะไรน่ากังวล..
นั่นเพราะหลิงหยุนสัมผัสได้ว่าภายใต้ท่าทางตื่นเต้นของหลวงจีนเฉวียนจื้อนั้น ไม่มีร่องรอยหรือวี่แววของการจ้องโจมตี และไม่มีรังสีสังหารแผ่ออกมาจากร่างของหลวงจีนชรารูปนี้เลยแม้แต่น้อย
“ประสกมู่หลง..อาตมามีเรื่องต้องคุยกับประสกหนุ่มท่านนี้เพียงลำพัง เจ้านั่งคอยอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวจะได้หรือไม่” หลวงจีนเฉวียนจื้อมองมู่หลงเฟยจื่อพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเล็กน้อย
มู่หลงเฟยจื่อตัดสินใจไม่ถูกจึงได้แต่หันไปมองหน้าหลิงหยุนหลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดออกไปว่า
“คุณรอผมอยู่ที่นี่เดี๋ยวนะ..”
จากนั้นทั้งหลิงหยุนและหลวงจีนเฉวียนจื้อก็เดินออกจากกุฏิไปท่ามกลางสายตาที่งุนงงและตกตะลึงของมู่หลงเฟยจื่อ
ทั้งคู่เดินตรงเข้าไปยังกุฏิที่เงียบสงบแห่งหนึ่งและเมื่อหลิงหยุนเดินเข้าไปด้านในแล้ว หลวงจีนเฉวียนจื้อก็ค่อยๆปิดประตูอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เดินเข้าไปนั่งนิ่งอยู่กลางห้องแล้วหลิงหยุนก็ใช้กระแสจิตถามหลวงจีนชราว่า
-ท่านเฉวียนจื้อ..ท่านคือหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนพายุฝนเมื่อสิบแปดปีก่อนใช่หรือไม่–
แต่หลวงจีนเฉวียนจื้อกลับส่ายหน้าไปมาช้าๆ“คืนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่วัดหลิงเจี๋วย..”
“แล้วเหตุใดท่านจึงรู้เรื่องราวของข้าได้ละเอียดนัก”
แววตาของหลวงจีนเฉวียนจื้อปรากฎร่องรอยของความทุกข์ระทมริมฝีปากเม้มแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ประสกหลิงหยุน..เรื่องของเจ้านั้น เป็นศิษย์พี่ของข้า – เฉวียนหมิงเล่าให้ข้าฟังด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดจบ..หลวงจีนเฉวียนจื้อก็ไม่ปกปิดกำลังภายในของตนเองอีก เพราะเขาเองก็เห็นกำลังภายในของหลิงหยุนเช่นกัน เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเขาก็เคลื่อนเข้าไปใกล้หลิงหยุน
หลิงหยุนนั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับถามขึ้นว่า“ขอท่านได้โปรดเล่าเหตุการณ์ในคืนวันนั้นให้ข้าฟังด้วยเถิด!”
เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่เพียงเกี่ยวข้องกับแม่ของหลิงหยุนแต่ยังเกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลิงของเขาอีกด้วย เขาจึงต้องการรู้รายละเอียดและความจริงเป็นอย่างมาก
เวลานี้..หลวงจีนเฉวียนจื้อไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คิดไม่ถึงว่าสหายน้อยจะเติบโตมาเป็นผู้ที่มีกำลังภายในสูงส่งถึงเพียงนี้เรื่องใดที่หลวงจีนชราอย่างข้ารู้ ก็จะเล่าให้กับประสกฟังจนหมด!”
จากนั้นหลวงจีนเฉวียนจื้อก็ใช้กระแสจิตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เขารู้มาให้หลิงหยุนฟัง..
ในคืนที่พายุฝนตกหนักเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว..
หลวงจีนเฉวียนหมิงได้นั่งสมาธิอยู่ในกุฏิของตนเองแต่แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดดังขึ้นที่ด้านนอกวัดหลิงเจี๋วย
ตอนนั้น..หลวงจีนเฉวียนหมิงอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5 เขาจึงสัมผัสได้ว่ายอดฝีมือที่ต่อสู้กันอยู่ด้านนอกวัดนั้น ล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธและกำลังภายในสูงส่งทั้งคู่ จึงได้แต่คิดในใจว่าจะต้องออกไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงใช้วิชาตัวเบากระโจนออกนอกกุฏิไปทันที..
และเมื่อไปถึง..เขาก็เห็นยอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในหน้าผาสูงชันนอกวัดหลิงเจี๋วย ทั้งคู่ต่างก็ซัดฝ่ามือเข้าใส่กันอย่างรุนแรง
ยอดฝีมือทั้งสองคนล้วนแต่งกายชุดดำและมีผ้าคลุมปิดบังใบหน้า จากรูปร่างของคนทั้งคู่ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าคนหนึ่งเป็นชายร่างสูงผอม และมีช่วงแขนที่ยาวอย่างน่าประหลาด ส่วนอีกคนเป็นหญิงรูปร่างบอบบบางอ้อนแอ้น แต่มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ
แต่ดูเหมือนวรยุทธของจอมยุทธหญิงจะไม่สามารถสู้จอมยุทธชายได้จึงถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และกำลังตกอยู่ในอันตราย
หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่เพียงมีกำลังภายในที่สูงส่งแต่ยังเคยพบเห็นจอมยุทธ และยอดฝีมือมามากมาย เพียงแค่ได้เห็นวรยุทธของคนทั้งคู่ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นยอดฝีมือของพรรคมาร
แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่รู้ก็คือว่า..เหตุใดในคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำอย่างหนักนั้น จึงได้มียอดฝีมือของพรรคมารมาปรากฏตัวอยู่นอกวัดหลิงเจี๋วยได้ เพราะโดยปกติแล้ว.. การจะได้พบเห็นยอดฝีมือของพรรคมารนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก!
แต่ระหว่างที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ครู่ใหญ่และจากบทสนทนาของชายและหญิงชุดดำนั้น ทำให้หลวงจีนเฉวียนหมิงพอจะคาดเดาได้ว่า การต่อสู้อย่างดุเดือดในคืนพายุฝนกระหน่ำนั้นล้วนเกิดจากเด็กทารกคนหนึ่ง
ชายชุดดำได้ติดตามหญิงชุดดำมาที่วัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้แต่เมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกหลอก และพยายามถามหาเด็กทารกผู้นั้น และเมื่อไม่ได้คำตอบจึงรู้สึกโกรธมาก และต้องการจัดการกับหญิงชุดดำให้ได้
หลวงจีนเฉวียนหมิงได้ยินเสียงร้องตะโกนของหญิงชุดดำ..
“ซือกงถู..ในเมื่อเจ้าได้แอบทำลายเส้นลมปราณหยางเจี๋วยของเด็กน้อยไปแล้ว และเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น เหตุใดเจ้ายังต้องการใจคอโหดเหี้ยมไม่ยอมปล่อยเขาไปอีก! เจ้าก็รู้นี่ว่าเขาคือบุตรชายแท้ๆของท่านเทพธิดา!”
ซือกงถูตอบกลับด้วยเสียงที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน“ก็เพราะเด็กนั่นมีสายเลือดที่ชั่วร้ายอยู่ในตัวยังไงล่ะ! ต่อให้เป็นบุตรชายของท่านเทพธิดา ข้าก็ต้องสังหารมันด้วยมือข้าเอง!”
“ธิดาพรรคมารแอบสั่งให้เจ้าพาเด็กนั่นออกมาเพื่อหวังให้มันได้มีชีวิตเติบโตอยู่ในโลกภายนอกอย่างเงียบๆ เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
ร่างของหญิงชุดดำสั่นเทิ้มด้วยความโกรธนางร้องตะโกนสาปแช่งชายชุดดำเสียงดัง
“เจ้ามันสารเลว!นี่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปรายงานให้ท่านเทพธิดารู้หรือยังไง หากนางรู้เข้า นางต้องจัดการเผาจนเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านแน่!”
ตอนนั้น..ซือกงถูได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และปล่อยให้พายุฝนซัดสาดเข้าสู่ใบหน้าของตนเองพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่า..ฮ่า.. เทพธิดาของเจ้าน่ะรึที่จะเผาข้าเป็นเถ้าถ่าน! วันนี้พวกเจ้าสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้แน่!”
“หลวงจีน..เจ้ายังจะแอบอยู่ทำไม ออกมาได้แล้ว!” ซือกงถูร้องเรียกหลวงจีนเฉวียนหมิงให้ออกมา
แม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายแต่ในเมื่อถูกจอมยุทธชายของพรรคมารพบเห็นเข้าแล้ว หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ไม่มีทางเลือกจำต้องปรากฏตัว และเลือกที่จะช่วยจอมยุทธหญิงพรรคมารรับมือกับซือกงถู
แต่เพราะกำลังภายในที่แตกต่างกันมากแม้แต่กำลังภายในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5 นั้น ยังไม่อาจเทียบเท่ากับจอมยุทธหญิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในตอนนั้นเลย ทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันต่อสู้กับชายชุดดำอย่างไม่ลดละ แต่ถึงกระนั้น.. ทั้งคู่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือกงถูอยู่ดี!
แต่ด้วยไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของหลวงจีนเฉวียนหมิงทำให้จอมยุทธหญิงสามารถซัดฝ่ามือเข้าที่กลางลำตัวของซือกงถูได้ถึงสามครั้งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย แต่จอมยุทธหญิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะซือกงถูเช่นกัน และถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด
จอมยุทธหญิงผู้นั้นนับว่าเฉลียวฉลาดอย่างที่สุดระหว่างที่ต่อสู้กับซือกงถูอย่างดุเดือดนั้น นางก็ได้ส่งกระแสจิตบอกที่ซ่อนของเด็กทารกให้หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ และได้บอกให้เขารีบหนีไปเพื่อช่วยเหลือเด็กทารกให้ปลอดภัยก่อน
และแน่นอนว่า..เด็กทารกคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงหยุน!
และเพื่อเปิดโอกาสให้หลวงจีนเฉวียนหมิงหลบหนีออกไปได้จอมยุทธหญิงจึงต้องเอาตัวเองเข้าจู่โจม และเป็นโล่ป้องกันให้กับหลวงจีนเฉวียนหมิง จนเขาสามารถหลบหนีออกไปได้
หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่สามารถทนเห็นจอมยุทธหญิงผู้นั้นถูกซือกงถูสังหารได้ก็จริงแต่เขาก็รู้ดีว่าขืนตนเองยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องถูกซือกงถูสังหารตายทั้งคู่อย่างแน่นอน เพราะตัวเขาเองก็ไม่สามารถสู้ซือกงถูได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลวงจีนเฉวียนหมิงจึงตัดสินใจหลบหนีออกมาเพื่อช่วยหลิงหยุนไว้ก่อน
หลวงจีนเฉวียนหมิงอาศัยจังหวะที่ทั้งคู่ต่อสู้กันนั้นกระโดดหนีออกไปกลางอากาศแต่ระหว่างที่หลบหนีออกมานั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของจอมยุทธหญิง
“ซือกงถู..เจ้าคิดจะสังหารข้า – จิงเหยี่ยว มันไม่ง่ายนักหรอก! และยิ่งเจ้าต้องการจะสังหารบุตรชายของท่านเทพธิดาแล้วล่ะก็ ข้ายินยอมแลกชีวิตกับเจ้า!”
จากนั้น..หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของจิงเหยี่ยว หลวงจีนเฉวียนหมิงถึงกับถอนหายใจออกมา เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรจิงเหยี่ยวก็ต้องถูกสังหารตายในคืนนี้อย่างแน่นอน!
แล้วเสียงต่อสู้ก็เงียบหายไป..
มีเพียงเสียงของพายุฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างหนักหลวงจีนเฉวียนหมิงไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลัง เพราะพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งนั้น ทำให้เขาต้องเร่งรีบออกไปช่วยเด็กทารกให้ได้เสียก่อน อีกทั้งเขาเองในเวลานั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานนัก จึงต้องการหาหลิงหยุนให้พบโดยเร็วที่สุด
หลวงจีนเฉวียนหมิงหลบหนีออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุดและตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่จิงเหยี่ยวได้บอกเขาไว้..
แต่เมื่อไปถึง..หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ถึงกับตกตะลึง เพราะที่นั่นมีหญิงรูปร่างและใบหน้างดงามมากคนหนึ่ง กำลังยืนใบหน้าซีดเซียวและร่างกายเปียกปอน ในมือที่สั่นเทานั้นได้อุ้มร่างของเด็กคนหนึ่งเอาไว้..
แต่ช่างประหลาดนักที่เด็กทารกในอ้อมแขนของนางนั้นกลับนอนนิ่งไม่ร้องไห้และไม่สร้างปัญหาใดๆเลย ภายในบริเวณนั้นมีเพียงความเงียบสงัด และข้างๆฉินจิวยื่อก็มีกล่องไม้ยาววางอยู่
หลวงจีนเฉวียนหมิงเห็นเช่นนั้นจึงได้เข้าไปสอบถามเรื่องราวและได้รู้ว่าประสกหญิงท่านนั้นมีนามว่าฉินจิวยื่อ นางขึ้นเขามาเพื่อไหว้พระขอพรจากพุทธองค์
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นหลวงจีนเฉวียนหมิงจึงขอให้ฉินจิวยื่อช่วยนำหลิงหยุนไปเลี้ยงดู ตอนนั้นฉินจิวยื่อเองก็เพิ่งจะให้กำเนิดหนิงหลิงยู่ นางจึงมีสัญชาติญาณของความเป็นแม่อยู่ อีกทั้งหลิงหยุนเองก็น่าเวทนา นางจึงตกลงรับปากหลวงจีนเฉวียนหมิงไป..
หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ว่าอันตรายยังไม่หมดไปและเกรงว่าคนของพรรคมารจะมาพบเห็นเข้า จึงบอกให้ฉินจิวยื่อรีบลงจากเขาไปให้เร็วที่สุด ฉินจิวยื่อทำตามอย่างว่าง่าย.. นางวางร่างของหลิงหยุนลงในกล่องไม้ แล้วอุ้มกล่องนั่นลงเขาไปทันที
หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ว่าฉินจิวยื่อเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งจึงรู้สึกวางใจไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นห่วงว่านางอาจพบเจออันตรายระหว่างทาง ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังตามไปส่งฉินจิวยื่อจนถึงจิงฉู แล้วจึงกลับมาที่วัดหลิงเจี๋วย
ทันทีที่กลับมาถึงที่วัดหลวงจีนเฉวียนหมิงก็ตรงไปยังหน้าผาที่ทั้งสามคนสู้กันก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย มีเพียงสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย แม้แต่คราบเลือดก็ถูกสายฝนชำระล้างไปจนหมด ไม่พบร่องรอยของซือกงถูและจิงเหยียวแม้แต่น้อย!
ในเวลานั้น..หลังจากที่แบกรับอาการบาดเจ็บสาหัสมานาน ร่างกายของหลวงจีนเฉวียนหมิงเองก็เริ่มไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาจึงกลับไปที่กุฏิของตนเอง จากนั้นจึงเริ่มเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง และเรียกให้คนไปตามศิษย์น้องของเขาซึ่งก็คือหลวงจีนเฉวียนจื้อให้รีบมาพบ..
เมื่อหลวงจีนเฉวียนจื้อมาถึงเขาก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ในลมหายใจเฮือกสุดท้ายนั้น หลวงจีนเฉวียนหมิงได้มอบทุกอย่างให้กับหลวงจีนเฉวียนจื้อ แล้วสิ้นใจตายในทันที
“จากที่เล่ามา..จอมยุทธหญิงที่ชื่อจินเหยี่ยวนั้นน่าจะเป็นคนใกล้ชิดของมารดาแท้ๆของประสก และชายที่ชื่อซือกงถูก็น่าจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสุดในพรรคมาร ข้าเองก็รีบลงเขาไปเพื่อหาศพของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย และไม่รู้ว่าทั้งคู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว”
“ศิษย์พี่ของข้าเล่าว่า..เส้นลมปราณหยางเจี๋วยของเด็กทารกผู้นั้นถูกทำลาย และยากนักที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุยี่สิบปี แต่กลับคิดไม่ถึงว่า.. เวลานี้ไม่เพียงประสกจะมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างมาก แต่ยังมีวรยุทธและกำลังภายในที่ลึกล้ำอีกด้วย แม้แต่หลวงจีนชราอย่างข้ายังไม่สามารถดูออก!”
หลวงจีนเฉวียนจื้อสูดลมหายใจเข้าลึกในขณะที่หลิงหยุนกำมือและขบฟันแน่น แววตาทั้งคู่ของเขาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นรุนแรง..
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่..หลิงหยุนจึงยืดอกขึ้น และค่อยๆโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านมาก!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนที่ฉินจิวยื่อเก็บเขามาเลี้ยงแล้ว..
หลิงหยุนรู้สึกเศร้าใจอย่างมากเขาต้องการกลับไปหาธิดาพรรคมารซึ่งเป็นแม่แท้ๆของตัวเอง หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับนางบ้าง และจินเหยี่ยวที่ทุ่มเทกายใจปกป้องชีวิตของเขานั้น ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่อาจรู้ได้ และอยู่ที่ใหนก็ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งว่าแม่แท้ๆของตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้น หลิงหยุนเองยังไม่รู้!
ความรู้สึกของหลิงหยุนเวลานี้จึงไม่เกินที่ใครๆจะคาดเดาได้!
“ซือกงถู..หากตอนนี้เจ้าไม่มีชีวิตอยู่ก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว ไม่เช่นนั้นข้านี่ล่ะจะจัดการกับเจ้าด้วยตัวข้าเอง!”
รังสีสังหารรุนแรงแผ่กระจายออกมาจากร่างของหลิงหยุน!
จากนั้นเขาจึงถอนหายใจยาวก่อนจะจ้องมองหลวงจีนเฉวียนจื้อพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่ทราบว่ากุฏิของหลวงจีนเฉวียนหมิงอยู่ที่ใหน ข้าอยากจะขอเข้าไปดูหน่อย..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร