เฉินมู่ขมวดคิ้วตอบ “ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่คะ”
แต่ชายชรากลับกระชับข้อมือเธอและพูดว่า “วันนี้บอสฮั่วยอมเอ่ยปากพูดเพื่อหลานเลยนะ ถ้าเป็นคนทั่วไปล่ะก็ไม่มีทางที่จะได้รับอะไรแบบนี้หรอก! ปู่ให้พ่อบ้านเขียนเช็คให้หลานแล้วห้าแสน หลานไปหาซื้อเสื้อผ้าดี ๆ มาสักสองสามชุด ไปเชิญฮั่วหยุนเซียวทานข้าวเป็นการกล่าวขอบคุณเขาด้วย”
เฉินมู่ขมวดคิ้วถาม “ปู่คะ ปู่หมายความว่า?”
ชายชราตอบ “ช่วงนี้สถานการณ์ที่บริษัทไม่ค่อยดีนัก หลานดูพ่อของตัวเองสิ ร้อนใจจนกินข้าวไม่ลงแล้ว เดิมทีก็คิดที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลฮั่วตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของหลานของกับซีเจ๋อไม่ลงลอยกัน ถ้าหากสามารถผูกสัมพันธ์กับฮั่วกรุ๊ปไว้ได้ละก็ พวกเราคงจะสบายมากขึ้นเยอะเลย”
เฉินมู่หน้าชาขึ้นมาทันที “หนูไม่ไปค่ะ หนูกับฮั่วหยุนเซียวไม่ได้สนิทกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะทำให้เขามาร่วมธุรกิจกับตระกูลเฉินเลย คุณปู่ให้เฉินชิงเสวี่ยเป็นคนไปเหมือนเดิมเถอะค่ะ”
“เฉินมู่!”ชายชราตะโกน “ก็แค่กินข้าวแค่นั้นเอง! ตระกูลเฉินเลี้ยงหลานมาตั้งนาน! เรื่องเล็กแค่นี้หลานกลับไม่เต็มใจที่จะทำ หลานช่วยไตร่ตรองเพื่อผู้ใหญ่หน่อยจะได้ไหม?”
เฉินมู่ยิ้มเย็นแล้วพูด “เลี้ยงหนูเหรอ? คุณปู่คะ ให้ข้าวคำเดียวนี่หรือที่เรียกว่าการเลี้ยงดูหนูเหรอคะ?”
“หลานกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร!” ชายชราหน้าตึงและกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
เฉินมู่ก้มศีรษะออกแรงกำมือของชายชราเล็กน้อย
“ปู่คะ ปกติที่บ้านหลังนี้ก็มีคนเพียงคนเดียวที่เลี้ยงดูเอาใจใส่ฉัน ตอนนี้ปู่ควรจะรู้ไว้นะคะ ที่ข้อมือหนูมีบาดแผลยาวประมาณสามเซนติเมตร และปู่ก็กำลังบีบปากแผลของหนูอยู่ค่ะ”
ชายชราตกใจรีบปล่อยมือออกทันที เลือดได้ซึมออกมาจากผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว สีแดงคล้ำของมันทำให้ผู้ที่พบเห็นตกตะลึงต่อภาพที่พบเห็น
เฉินมู่ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยเสียงเรียบ “คุณปู่คะ หนุมีใบหน้าที่เสียโฉม เกรงว่าจะทำให้บอสฮั่วรู้สึกตรงกันข้ามเสียมากกว่า ตระกูลเฉินได้อบรมสั่งสอนเฉินชิงเสวี่ยมาตั้งนานหลายปีไม่ใช่เหรอคะ เธอต่างหากที่สมควรตอบแทนบุญคุณคนที่เลี้ยงดูมา!”
“เฉินมู่!” ชายชราตะโกนพูดด้วยความโกรธจากด้านหลัง พร้อมทิ้งท้ายมาประโยคหนึ่ง “แกนี่มันนิสัยใจคอเหี้ยมโหดอำมหิตจริง ๆ บีบบังคับพ่อของตัวเองทำให้ชิงเสวี่ยต้องแต่งงานกับตระกูลลู่!”
“ตามใจเลยค่ะ” เฉินมู่เดินออกจากประตูใหญ่ไป ขาเรียวสาวเท้าโบกรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลอันเซิ่งอีกครั้ง
เฉินมู่นั่งอยู่ในห้องทำงานของโอวจิน เมื่อเห็นสีหน้าหมดคำจะพูดของโอวจินจึงได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนออกมา “แผลฉีกน่ะ ขอรบกวนคุณหน่อยนะ”
โอวจินทำแผลไปถามไป “คุณหนูเฉินครับ ผมแปลกใจจริง ๆ ภายในหนึ่งวันคุณทำให้ตัวเองเจ็บตัวซ้ำไปมาแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”
เฉินมู่ยิ้มแล้วกระซิบกระซาบออกมา “ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันค่ะ”
โอวจินคิดว่าตอนนี้เธอคงไม่อยากพูดอะไรมากจึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก
ในความเป็นจริง ไม่รู้ว่านี่เป็นความสามารถติดตัวของร่างกายนี้หรือเปล่า ภายในใจของเฉินมู่ถึงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้วกับความสามารถอันนี้ของตัวเธอ จริง ๆ แล้วเธอทรมานตัวเองให้ตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไรกันนะ?
เวลาไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอมักจะตกเป็นเป้าหมายที่คนในตระกูลเฉินรุมกลั่นแกล้ง เวลาเกิดเรื่องขึ้นก็มักจะให้เธอสวมบทลูกสาวผู้กตัญญู บังคับให้ตัวเธอแสดงความกตัญญู
โอวจินพันผ้าพันแผลให้เธอใหม่อีกครั้ง ตกเย็นเฉินมู่ที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านก็เจอเข้ากับลู่ซีเจ๋อที่ดักรอหน้าประตูเสียก่อน
พอลู่ซีเจ๋อเห็นเฉินมู่ก็รีบเดินมาและตะโกนเรียกทันที “เสี่ยวมู่!”
เฉินมู่ไม่ยอมหยุดฝีเท้า แถมยังพูดทิ้งท้ายไว้ “เฉินชิงเสวี่ยถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่าอยู่ที่ศาลเจ้าบรรพบุรุษ”
“เสี่ยวมู่ ผมมาหาคุณต่างหาก!” ลู่ซีเจ๋อตะโกนตอบเสียงดัง
เฉินมู่ชะงักไป “มาหาฉัน?”
ลู่ซีเจ๋อยิ้มอ่อนและพยักหน้า “ใช่แล้ว ผมมาหาคุณ! คืนนี้คุณว่างหรือเปล่า? พวกเราไปทานมื้อเย็นด้วยกันดีไหม?”
เขายิ้มออกมาราวกับเจ้าชายผู้สง่างาม เหมือนเขากำลังหยิบยื่นน้ำใจไมตรีมาให้ ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วโลกทุกคนก็คงจะซาบซึ้งในบุญคุณที่ได้รับ
ลู่ซีเจ๋อคิดว่าเฉินมู่ตามตื๊อเขาอยู่มาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขามาชวนเธอไปทานข้าวด้วยตัวเองถึงที่ เฉินมู่ต้องดีใจจนแทบจะจุดพลุฉลองเป็นแน่!
“ไม่ว่าง” เฉินมู่หมุนตัวเดินเข้าไปในประตูคฤหาสน์ ไม่แม้แต่จะชายตามองเขา
ลู่ซีเจ๋ออึ้งไปนานมาก ชายหนุ่มมองไปที่แผ่นหลังอันผอมบางของเฉินมู่ แต่เธอกลับไม่ได้เดินก้มหัวตัวงอเหมือนแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เธอยืดแผ่นหลังตั้งตรง แม้แต่บุคลิกของร่างทั้งร่างก็ยังปรากฏความเยือกเย็นสุขุมและดูสูงส่งสง่างาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่อีกครั้งกับยัยขี้เหร่