ปึ้ง—
กระจกทองแดงบนโต๊ะล้มลง เสียงที่ดังขึ้นทำให้เฉียวชิงหวั่นได้สติกลับมา นางได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว เรื่องพวกนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้น
นางสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง พลางกัดฟันแน่น
มีโอกาสได้เริ่มใหม่อีกครั้ง เป็นพรที่สวรรค์ประทานให้นาง ในชาตินี้ นางจะต้องแก้แค้นให้จงได้
ในขณะที่เฉียวชิงหวั่นกำลังเหม่ออยู่นั่นเอง จู่ๆสาวใช้ซู่อีก็เดินมารายงานว่า “คุณหนูใหญ่ เมื่อครู่ข้าน้อยเห็นว่าคุณหนูรองกำลังเดินตรงมาทางนี้เจ้าค่ะ”
คุณหนูรองที่พวกนางพูดถึง ก็คือเฉียวซือโหรวนั่นเอง
เฉียวชิงหวั่นยังไม่ทันจะได้ไปหานาง นางก็เดินมาหาเองเสียแล้ว ก็ดี ประหยัดเวลานางไปได้เยอะ
“ข้ายังไม่ได้แต่งตัวเลย พวกเจ้าออกไปกันนางเอาไว้ที่หน้าประตูก่อน รอข้าแต่งตัวเสร็จค่อยปล่อยนางเข้ามา ”
“เจ้าค่ะ”
ซู่อีรีบออกไปยืนรอที่หน้าประตูทันที
เฉียวชิงหวั่นหยิบกระจกขึ้นมา มองดูรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้านขวาของนาง ปีที่แล้วนางออกไปพร้อมกับเฉียวซือโหรว แต่จู่ๆนางหมดสติไประหว่างทาง และรถม้าก็พลิกคว่ำโดยไม่รู้สาเหตุ
พอนางได้สติอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็มีรอยแผลลึกนี้แล้ว
มาคิดดูดีๆ การเสียโฉมก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นแผนการที่จัดฉากมาเป็นอย่างดีของเฉียวซือโหรวและแม่ของนาง
โชคดีที่นางเลือกเรียนวิชาแพทย์ การที่จะรักษาแผลเป็นให้หายไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ชาติที่แล้วเพราะมีแผลเป็นอันนี้ ทำให้นางสูญเสียความมั่นใจไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่จะออกจากบ้านก็ไม่กล้า ขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวัน แม้แต่คนในครอบครัวก็ไม่กล้าเจอหน้า
แต่เฉียวซือโหรวกลับฉวยโอกาสในตอนนั้นเอง แต่งตัวสวยเด่นสะดุดตาออกออกไปข้างนอกทุกวัน เที่ยวป่าวประกาศว่าตนเป็นคุณหนูในจวนรองเสนาบดี ใครที่ไม่รู้คงจะคิดว่านางเป็นลูกสาวในสมรสไปแล้วกระมัง!
ยังทำให้นางได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่หญิงสาวผู้มากความสามารถแห่งเมืองหลวงอีก
แต่ชาตินี้ ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ เฉียวซือโหรวก็อย่าคิดว่าจะได้ผุดได้เกิดอีกเลย
กว่าจะรอให้นางแต่งตัวจนเสร็จ เฉียวซือโหรวก็รอจนหมดความอดทนแล้ว นางผลักเหล่าสาวใช้ออกให้พ้นทาง แล้วเดินเข้าประตูมาด้วยตัวเอง
“ท่านพี่ ตื่นแล้วหรือ?”
หนานเหลียนเห็นว่าคุณหนูสองมา ก็ออกมาต้องรับอย่างกระตือรือร้นในทันที “คุณหนูสอง ท่านมาพอดีเลย เชิญเข้าด้านในเลยเจ้าค่ะ”
เฉียวซือโหรวยิ้มหวาน พลางถามด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย “ท่านพี่ วันนี้สุขภาพร่างกายท่านพี่ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
ได้เจอกับศัตรูคู่แค้นอีกครั้ง ไฟแห่งความแค้นในใจของเฉียวชิงหวั่นก็ปะทุขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่
อดชื่นชมไม่ได้ว่า ฝีมือการแสดงของเฉียวซือโหรวไม่เลวจริงๆ แสดงท่าทีใสซื่อบริสุทธิ์ แสร้งทำเหมือนว่าเป็นห่วงเป็นใยนาง ราวกับว่าพวกนางเป็นพี่น้องที่รักหนักหนาอย่างไรอย่างนั้น
ในชาติก่อน เฉียวชิงหวั่นจึงได้ถูกภาพลวงตานี้หลอกเข้าเต็มๆ คิดว่านางเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุด มีของดีอะไรก็ยินดีที่จะแบ่งปันให้นาง
เฉียวซือโหรวเห็นว่าสีหน้าของนางดูไม่ดีนัก จึงอธิบายยิ้มๆว่า “ท่านพี่โกรธที่หลายวันนี้ข้าไม่ได้มาเยี่ยมพี่งั้นหรือ? ข้าออกไปอธิษฐานขอพรให้ท่านพี่มา พอกลับมาก็ได้ยินว่าท่านพี่บาดเจ็บ แล้วข้าก็มาเยี่ยมท่านพี่ทันทีเลย ท่านพี่ อย่าโกรธข้าเลยนะ!”
นางดึงชายเสื้อของเฉียวชิงหวั่นเบาๆอย่างออดอ้อน
เฉียวชิงหวั่นกดไฟแค้นที่กำลังปะทุอยู่ในใจลงอย่างยากลำบาก นางแอบก้าวถอยออกมาเงียบๆเพื่อรักษาระยะห่าง “เจ้ามาเยี่ยมพี่ พี่ต้องดีใจอยู่แล้ว”
“ท่านพี่” เฉียวซือโหรวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อีกสองวัน ก็จะถึงงานเลี้ยงฉลองบุปผาจันทราที่จัดขึ้นปีละครั้งแล้ว ข้าไม่มีชุดกับเครื่องประดับที่เหมาะสมเลย หลายวันก่อนเห็นว่าท่านพี่มีชุดกระโปรงร้อยจีบหรูอี้และเครื่องประดับหยกขาวมั่วเหยียนที่งดงามนัก ท่านพี่ พี่ให้ข้ายืมมาใช้ได้หรือไม่?”
ทุกครั้งที่น้องสาวคนละแม่ของนางคนนี้มาเยือน มักจะต้องเอ่ยปากขอของมีค่าสักชิ้นของนางติดมือกลับไปทุกครั้ง
ชาติก่อนนางคิดว่า อย่างไรซะนางก็ไม่อยากออกจากเรือน เครื่องประดับล้ำค่าพวกนี้วางไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ให้นางยืมไปใช้ก่อนก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
แต่ด้วยความหน้าด้านของเฉียวซือโหรว ของที่ถูกยืมไปจึงไม่เคยถูกส่งคืนกลับมาอีกเลย
ชุดกระโปรงร้อยจีบหรูอี้และเครื่องประดับหยกขาวมั่วเหยียนชุดนี้ เป็นของขวัญที่ท่านยายมอบให้นางเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบห้า มีมูลค่ามหาศาล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เส้นทางการโต้กลับของยอดหมอหญิงอัปลักษณ์
รอตอนต่อไปค่าาาา...
เรื่องนี้ลงให้จบน้าค้าาา...