เทพยุทธ์แห่งบรรพกาล นิยาย บท 3

สรุปบท บทที่ 3: เทพยุทธ์แห่งบรรพกาล

ตอน บทที่ 3 จาก เทพยุทธ์แห่งบรรพกาล – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 3 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet เทพยุทธ์แห่งบรรพกาล ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หลังกระโดดเข้าไปทางลับแล้ว ลู่เสวียนก็ถูกแรงปั่นป่วนมหาศาลบีบอัดทันที แรงเหล่านี้รุนแรงน่ากลัวเป็นที่สุด แม้แต่ศิษย์ที่แท้จริงก็ยังไม่อาจทนไหว นับประสาอะไรกับร่างกายของมนุษย์ธรรมดา

ลู่เสวียนกรีดร้องอย่างทรมาน เนื้อของเขาถูกฉีกกระชากในฉับพลัน หยาดโลหิตหลั่งไหลราวกับห่าฝน ขณะที่ร่างของเขากำลังจะขาดแยกออกจากกัน ทันใดนั้น!

แรงดูดลึกลับพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า และดึงดูดลู่เสวียนเข้าไปสู่มิติมืดมิดไร้ขอบเขตทันที!

"หึ ๆ ยิ่งตระกูลลู่อยู่ยืนนานเพียงใด ก็ยิ่งตกต่ำลงเท่านั้น พวกเขาถึงกับบีบบังคับสังหารบุตรชายเพียงคนเดียวของลู่หยวนเฟิงเพื่อแย่งชิงเครื่องราง การแสดงครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!"

"ข้าสงสัยเหลือเกิน ลู่หยวนปา ลู่หยวนเจียว และคนอื่นๆ กดดันให้หลานชายของพวกเขาไปตาย ผู้เฒ่าลู่จะคิดอย่างไรกันถ้ารู้เรื่องนี้เข้า ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ!"

ความจริงที่ว่าตระกูลลู่บีบบังคับให้ลู่เสวียนกระโดดเข้าไปในเส้นทางที่ไม่เสถียรต่อหน้าผู้คนมากมายนั้นน่าอายเหนือประมาณ เรื่องนี้ถูกมองเป็นเรื่องตลกขบขันในสายตาของ 3 ตระกูลแห่งเมืองเฉียนหลง และเมืองใหญ่อื่น ๆ โดยปราศจากความเมตตาหรือเสียดสีใด ๆ

ยามนี้ตระกูลลู่กำลังเสื่อมถอย พวกเขาไม่มีอันใดให้ต้องเกรงกลัว

ใบหน้าของลู่หยวนปา ลู่หยวนเจียว และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ซีดเผือดไม่น่ามอง

“เส้นทางเปิดแล้ว!”

มีผู้หนึ่งร้องตะโกนขึ้นมา ความสนใจของทุกคนมุ่งเป้าไปที่ประโยคนั้นแทน แต่ละตระกูลเริ่มทยอยส่งศิษย์ของตัวเองเข้าไปในเส้นทาง ขณะที่ตระกูลลู่ถูกผลักไสให้อยู่รั้งท้ายเพราะความตกต่ำ

เสี้ยวปิงหยู ไข่มุกล้ำค่าแห่งตระกูลเสี้ยวนึกว่าลู่เสวียนตายแล้ว หยาดน้ำตาไหลอาบหน้าเด็กสาว เสี้ยวปิงหยูใจสลาย นางจ้องมองสมาชิกทั้งเจ็ดของตระกูลลู่ด้วยแววตาชิงชัง ก่อนจะกัดฟันพูดว่า "พวกท่านเป็นผู้ที่บังคับให้พี่เสวียนของข้าไปตาย ข้าสาบานว่าจะล้างแค้นให้เขาเมื่อข้าเข้าสู่อาณาจักรลับแล้ว!"

“โอ๊ยเจ็บ!” ลู่เสวียนพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเอง เขารู้สึกชาและเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างราวกับถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ

"สถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน?" ยามที่เขาเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ ลู่เสวียนพลันตื่นตระหนก

ลู่เสียนสติกระเจิดกระเจิง รัศมีสายฟ้าน่าสะพรึงขวัญมากมายฉายวาบเหนือศีรษะของเขา ดั่งสวรรค์และผืนปฐพีเปิดกว้างเป็นครั้งแรก พลังงานโบราณพลุ่งพล่านรุนแรง สายฟ้าเหล่านั้นผ่าระเบิดเปรี้ยงปร้าง อานุภาพน่าเกรงขาม ประดุจกำลังจะทำลายล้างโลกใบนี้

"ท่าไม่ดีแล้ว!"

ทันทีที่ลู่เสวียนปรากฏตัวขึ้น ฟ้าร้องและฟ้าผ่าในพื้นที่ทั้งหมดก็รุนแรงขึ้น และกระแสความร้อนท่วมท้นพุ่งลงมาที่เขา ลู่เสวียนหยัดกายวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เพียงเพื่อจะพบว่าร่างของเขากำลังลอยคว้างอยู่ในอากาศ  และถูกตรึงแน่นด้วยพลังลึกลับจนไม่สามารถขยับตัวได้

"บ้าเอ๊ย!" ลู่เสวียนตกใจและโกรธยิ่งนัก เด็กหนุ่มคำรามอย่างไม่ยินยอม ในชั่วพริบตานั้น สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่กว่าสิบเส้นก็ฟาดผ่าใส่ร่างกายของลู่เสวียน เขากรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพชแล้วหมดสติไป

ลำแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งเคลื่อนพาดผ่านท้องนภา และตรงดิ่งเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของลู่เสวียนในฉับพลัน!

ทันใดนั้นร่างของลู่เสวียนก็ระเบิดเป็นแสงสีน้ำเงินออกมา แม้แต่ผิวกายของเขายังเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินด้วย มันส่องแสงประหนึ่งศาสตราศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ แสงนั้นตัดผ่านความมืดมิด ก่อเกิดเป็นมวลพลังงานวุ่นวายโกลาหลพุ่งสูง

ดินแดนลึกลับสะท้านไหวราวผืนน้ำโยกคลอน และกำลังจะแตกร้าวด้วยพลังที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน

พลังลึกลับนี้ล้นทะลักออกมาจากร่างกายของลู่เสวียน แต่ละสายประดุจมังกรหรืออสรพิษบิดเร่าโบยบิน ตามด้วยแรงมหาศาลของมังกรนับหมื่นตัวเวียนว่ายกลับสู่ท้องทะเล

ร่างกายของลู่เสวียนคล้ายถูกคุ้มครองด้วยบางสิ่ง มิฉะนั้นเขาคงถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว อย่างไรก็ตามลู่เสวียนไม่สามารถต้านทานพลังรุนแรงได้ ผิวหนังของเขาปริแตกอย่างรวดเร็ว มีโลหิตสีเข้มไหลออกมา

ร่างงามพิลาศเลือนรางปรากฏกายขึ้น อาภรณ์ของนางยิ่งใหญ่ตระการตาไม่มีใครเทียบได้ กระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลปลิดปลิวชดช้อยตามแรงลม เรือนผมสีฟ้ายาวกรอมเท้าพลิ้วไสว เรือนร่างงดงามหมดจด ทั้งผอมเพรียวและมีสะโพกผายกลมกลึงดุจภมร ทรวงอกอวบอัดเย้ายวน เหมาะเจาะสอดรับสัดส่วนทองคำ

ใบหน้าของนางถูกบดบังด้วยผ้าคลุมซึ่งพร่างพรายไปด้วยดวงดาว สามารถมองเห็นได้ราง ๆ ว่านางคือสตรีที่มีรูปโฉมเฉิดฉายเป็นเอก

สตรีนางนั้นถอนหายใจยาว มีประกายแห่งความคาดหวังในนัยน์ตาดุจผลึกแก้ว ยามมองลู่เสวียนที่กำลังหมดสติอยู่ นางก็เอ่ยขึ้นมาเบา ๆ "หวังว่าเจ้าจะเป็นคนที่ข้ากำลังตามหาอยู่นะ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง เทพเจ้าแห่งธาตุทั้งห้าในสวรรค์และปฐพี ข้าผู้นี้คือจักพรรดิเหนือหมู่มวล ข้ารับใช้ในเทพเจ้าวารี จงสดับรับฟังคำสั่งของข้า และช่วยเหลือนายใหม่ของเจ้าอย่างสุดกำลัง!"

นางชี้ด้วยนิ้วเรียวยาว ลูกปัดแสงที่มีไอสีดำอบอวลหมุนกลิ้งเข้าไปในช่องว่างระหว่างคิ้วของลู่เสวียนอีกครา ทำให้ร่างกายของเขาสั่นกระตุก

หลังจากนั้นแสงสีน้ำเงินจึงสลายหายไป สตรีลึกลับผู้นั้นก็หายไปเช่นกัน

"ที่นี่คือที่ไหนกัน?" ลู่เสวียนลืมตาอย่างยากลำบาก ภาพตรงหน้าทำให้เขาตกใจมาก มันไม่ใช่ฉากฟ้าร้องฟ้าผ่าสะเทือนเลือนลั่นทั่วท้องฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นโลกใบใหม่ที่สวยงาม

หมู่ดาวบนท้องฟ้าเหมือนอัญมณีเม็ดใหญ่ประดับทั่วท้องฟ้า ดวงตะวันและจันทรามีขนาดราวหมวกสานไผ่ และส่องสว่างดั่งผืนน้ำเปล่งประกาย มวลพลังแห่งดวงดาวหนาแน่นยากเกินจินตนาการ และแข็งแกร่งยิ่งกว่าดินแดนฝึกฝนศักดิ์สิทธิ์ในโลกภายนอกถึง 10 เท่า!

หากใครอยู่ที่นี่นาน ๆ ต่อให้หมูก็กลายร่างเป็นปีศาจได้ นับประสาอะไรกับผู้ฝึกฝน

"นี่คืออาณาจักรแห่งดวงดาว เจ้าหนู การได้มาเยือนที่นี่คือพรประเสริฐที่เจ้าพากเพียรฝึกฝนมาหลายหมื่นชาติ ฮิ ๆ" เสียงหัวเราะแปลกประหลาดไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา

"ใครน่ะ!" ประสาทของลู่เสวียนตื่นตัว เขาตะโกนอย่างประหม่า พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ

"ไม่เห็นต้องประหม่าเลย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ไม่สำคัญว่าข้าจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรต่างหาก!"

“ท่านเป็นคนหรือวิญญาณกันแน่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” ลู่เสวียนโมโหเล็กน้อย อีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ในความมืดและไม่ยอมปรากฏตัวให้เขาเห็น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นสนุกกับเขา

"ข้าไม่ใช่ทั้งคนและวิญญาณ ข้าเป็นเพียงวิญญาณแห่งโชคชะตา"

“วิญญาณแห่งโชคชะตา? ท่านคือวิญญาณแห่งโชคชะตาของเผ่าปีศาจโบราณ!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของลู่เสวียนพลันแสดงถึงความปีติยินดี เขาเผลออุทานออกมาเสียงดัง ครั้งนี้เขายอมเสี่ยงชีวิตเข้าสู่อาณาจักรลับเพื่อค้นหาวิญญาณแห่งโชคชะตาของเผ่าปีศาจโบราณ และรับพลังอันยิ่งใหญ่ เพื่อล้างแค้นหนี้เลือดและฟื้นฟูตระกูลลู่ให้รุ่งโรจน์

เขาไม่วาดหวังมาก่อนว่าตัวเองจะพบวิญญาณแห่งโชคชะตาของเผ่าปีศาจโบราณทันทีที่เข้ามาที่นี่

“หืม วิญญาณแห่งโชคชะตาของเผ่าปีศาจโบราณแล้วอย่างไร?”

“ท่านไม่ใช่วิญญาณแห่งโชคชะตาของเผ่าปีศาจโบราณรึ?” ลู่เสวียนรู้สึกผิดหวังมาก หากปราศจากวิญญาณแห่งโชคชะตา เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้!

“เจ้าไม่ต้องผิดหวัง ถึงข้าจะหลอมรวมพลังกับเจ้าไม่ได้ แต่ข้าสามารถหาประโยชน์ได้มากมายมหาศาลกว่าการหลอมรวมกับเจ้าเป็นหมื่นเท่า เจ้าหนู ลองดูทะเลแห่งจิตสำนึกของเจ้า”

“ทะเลแห่งจิตสำนึก?” ลู่เสวียนตะลึง มีเพียงผู้ฝึกฝนเท่านั้นที่สามารถมีทะเลนี้ได้ แล้วเขาเอาทะเลแห่งจิตสำนึกมาจากไหนกัน? แต่เมื่อลู่เสวียนนึกถึงทะเลแห่งจิตสำนึก พื้นที่ลึกลับก็ปรากฏขึ้นในห้วงคิดของเขาอย่างอธิบายไม่ได้

พื้นที่ลึกลับแห่งนี้มีขนาดราวสนามขนาดใหญ่ และรกร้างยิ่ง เหมือนดินแดนรกร้างดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่ถูกผ่าแยก ไร้ซึ่งสรรพสิ่งใด

"นี่มันอะไรกัน?" ทันใดนั้นลู่เสวียนก็พบว่ามีลูกปัดสีน้ำเงินรูปร่างคล้ายหยดน้ำอยู่ในพื้นที่ลึกลับ เด็กหนุ่มประหลาดใจยิ่งนัก

"นี่มันน้ำตาเทพวารี สมบัติล้ำค่า!" ยามกล่าวถึงน้ำตาเทพวารี น้ำเสียงที่ค่อนข้างมีอายุดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เสียงนั้นเต็มไปด้วยความโลภเช่นเดียวกับความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง

“น้ำตาเทพวารี?” ครั้นลู่เสวียนสังเกตเห็นน้ำตาเทพวารี สติสัมปชัญญะของเขาก็ถูกดูดเข้าไปในหยดน้ำนั้นทันที น้ำตาเทพวารีเริ่มก่อตัวเป็นช่องว่าง

ดวงดาวนับไม่ถ้วนภายในช่องว่างนั้นล้อมรอบดวงตะวันและจันทรา นอกจากนี้ยังมีดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ยักษ์อีก 10 ดวง เกือบเทียบเท่ากับดวงตะวันและจันทรา อย่างไรก็ตามดวงดาวเหล่านี้กลับมืดสลัวไปหมด

ลู่เสวียนตะลึงพรึงเพริด ขณะนี้ด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณแห่งโชคชะตาอันแปลกประหลาดนี้ เด็กหนุ่มทะลวงขึ้นถึง 3 ระดับในรวดเดียว ไล่ตั้งแต่อาณาจักรลมปราณแห่งจิตวิญญาณระดับ 1 ไปจนถึงระดับ 4 ความก้าวหน้าที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งทวีปเทียนหยวน!

ลู่เสวียนต้องการใช้พลังจากเส้นลมปราณจิตวิญญาณแม่น้ำโลหิตเพื่อทะลวงผ่านอีก 1-2 ระดับและไปถึงระดับที่ 4 ของเส้นลมปราณแห่งจิตวิญญาณ แต่เขาไม่ทำกระบวนการสุดท้ายไม่สำเร็จและนิ่งค้างอยู่ในระดับนี้

ลู่เสวียนหาได้ทะเยอทะยาน เขาติดอยู่ในระดับ 1 มานานหลายปี แต่ยามนี้เขากลับทะลวงขึ้นถึง 3 ระดับในชั่วพริบตา เรื่องนี้หาได้ยากมาก เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถรวบรวมพลังฝึกฝนและทะลวงสู่ระดับที่ 5 ได้ในไม่ช้า

“นี่คือศักยภาพของสายเลือดยมโลกหรือ? น่ากลัวเกินไปแล้ว นอกจากนี้เจ้าเด็กนี่เพิ่งปลุกลมปราณแห่งจิตวิญญาณได้แค่เส้นเดียวเอง ถ้าเขาปลุกลมปราณแห่งจิตวิญญาณยมโลกได้ครบสิบเส้นเมื่อไร คงยากจะจินตนาการว่าพลังจะน่ากลัวขนาดไหน!” วิญญาณแห่งโชคชะตาตื่นตกใจเช่นกัน

สายโลหิตยมโลกเป็นเพียงตำนานเล่าขาน จวบจนวันนี้วิญญาณแห่งโชคชะตาเพิ่งประจักษ์ถึงพลังที่แท้จริงของสายเลือดนี้

"ทำไมเส้นลมปราณจิตวิญญาณของข้าถึงแตกต่างไปจากเดิม?" ลู่เสวียนพบว่าลมปราณแห่งจิตวิญญาณในร่างกายเขาเปลี่ยนไป มันเหมือนแม่น้ำสีเลือดที่ทอดยาวระหว่างดาวฤกษ์ขนาดใหญ่และแท่นบูชา เส้นลมปราณของเขาหนากว่าเดิมเกือบ 10 เท่า!

ความเร็วในการดูดซับจิตวิญญาณฉีจากโลกภายนอกของลู่เสวียนรวดเร็วกว่าอัจฉริยะหลายคนที่มีลมปราณแห่งจิตวิญญาณ 5 เส้นหลายร้อยเท่า

"แน่นอน เส้นลมปราณแห่งจิตวิญญาณของเจ้าคือสายเลือดของจักรพรรดิปีศาจที่หาได้ยากมาก หรือที่เรียกกันว่าสายเลือดของยมโลก เจ้าเคยเห็นพลังอำนาจของมันมาก่อนแล้ว และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ฮ่า ๆ เจ้าหนู เรามาร่วมมือกันสร้างตำนานเถอะ!"

เมื่อเห็นลู่เสวียนมีสายเลือดจักรพรรดิปีศาจ อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนใจ และตัดสินใจที่จะทุ่มเทฝึกฝนสุดยอดปรมาจารย์จ้าวปีศาจด้วยตัวเอง!

“สายเลือดปีศาจของเจ้าเพิ่งตื่นขึ้นและยังไม่เสถียร อย่าเพิ่งกังวลเรื่องใดในตอนนี้ สิ่งสำคัญกว่าคือการหาสถานที่ฝึกฝนของเจ้าก่อน”

ลู่เสวียนฟื้นตื่นขึ้นมา และพบว่าตัวเองออกมาจากพื้นสับสนวุ่นวายแห่งนั้นแล้ว เด็กหนุ่มอยู่ในเนินเขารกร้างซึ่งมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังเป็นครั้งคราว กลิ่นอายแข็งแกร่งทำให้ลู่เสวียนรู้สึกถึงอันตรายชวนหวาดหวั่น

เขารีบหาที่ซ่อนที่ปลอดภัย และสงบสติอารมณ์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสายเลือดยมโลก

 10 วันผ่านพ้นไปในพริบตา ลู่เสวียนไม่เพียงทบทวนฝึกฝนวิชาดั้งเดิมเท่านั้น แต่เขายังทะลวงไปถึงระดับที่ 6 ของอาณาจักรลมปราณแห่งจิตวิญญาณแล้ว

"เฮ้ย ไอ้สวะไร้ประโยชน์! เจ้ายังไม่ตายนี่!"

ทันทีที่ลู่เสวียนเดินออกมาหลังเก็บตัวฝึกฝน เขาก็พบกับ "คนรู้จักเก่า"

พวกนั้นเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จำนวน 5 คน มีชายหนุ่มอายุ 17 ปีผู้หนึ่งกำลังจ้องที่ลู่เสวียนด้วยแววตาตกใจ เขาไม่คิดว่าลู่เสวียนจะยังมีชีวิตอยู่

“เฉียนฟางชาง?” ลู่เสวียนเหลือบมองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเฉยเมย ก่อนจะหมุนร่างจากไปด้วยไม่อยากเสวนากับคนผู้นี้

"หยุดนะ! ข้าบอกให้เจ้าไปแล้วเรอะ?" เมื่อเฉียนฟางชางเห็นลู่เสวียนไม่แยแส เขาก็ตวาดลั่นอย่างเดือดดาล

ลู่เสวียนหยุดชั่วขณะ แต่ไม่หันกลับมามอง เขาเพียงถามอย่างเย็นชา "มีอะไร?"

"ฮึ่ม ไม่เจอกันไม่กี่วัน เจ้าใจกล้าขึ้นเยอะนี่ กล้าดีอย่างไรถึงเมินข้า! เร็ว ลากตัวมันมาเดี๋ยวนี้!" เฉียนฟางชางตะโกนสั่งคนที่ยืนข้างหลังด้วยความโกรธ

“เห็นแก่ท่านย่า ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ไสหัวไปซะ อย่ายั่วโมโหข้าอีก” ลู่เสวียนหันกลับมา แล้วเตือนด้วยสายตาเย็นชา

"ทำเป็นพูดดี! สวะไร้ค่าที่ฝึกฝนไม่ได้อย่างเจ้าบอกว่าไม่อยากทำให้ข้าลำบากเนี่ยนะ? เจ้าเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ? ไม่ต้องตีมันให้ตายนะ เอาแค่ให้มันพิการก็พอ!" เมื่อถูกดูหมิ่นโดยเด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายาว่าคนไร้ค่า เฉียนฟางชางก็โกรธเกรี้ยวมาก

“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีแล้วกัน นับตั้งแต่ข้ากระโดดเข้าไปในอาณาจักรลับ ข้าสาบานแล้วว่าจะไม่ยอมให้ใครกลั่นแกล้งอีก ไม่ข้าก็อีกฝ่ายต้องตายกันไปข้างนึง!" ลู่เสวียนมองกลุ่มคนที่วิ่งกรูเข้ามา ฟางเส้นสุดท้ายของเขาขาดแล้ว ดวงตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เทพยุทธ์แห่งบรรพกาล