หัวจิ้งเลือกไปที่วิหารแคว้นหนิงในอีกครึ่งเดือนหน้า หยุนชางก็ให้ความร่วมมืออย่างมาก นางให้ฉินยีและฉินเมิ่งช่วยเก็บข้าวของ แต่นางกลับพาฉินยีไปเพียงคนเดียว
ระหว่างทางนั้นเป็นจริงอย่างที่หัวจิ้งพูด พวกนางไม่รีบร้อนเลย พวกนางเดินเล่นไปพักผ่อนไป ระยะทางที่ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งวัน พวกนางกลับใช้ไปหนึ่งวันเต็มๆ ตอนที่ไปถึงวิหารแคว้นหนิงท้องฟ้าก็มืดแล้ว
ขณะที่เพิ่งเข้าพักที่วิหารแคว้นหนิง และกำลังรับเสวยพระกระยาหารค่ำ ก็ได้ยินพระเณรน้อยในวัดเข้ามารายงานว่ามีคนมีเรื่องด่วนจะขอพบองค์หญิงหัวจิ้ง
หัวจิ้งขมวดคิ้วและให้ชายผู้นั้นเข้ามา ทันทีผู้นั้นเห็นหัวจิ้ง เขารีบถวายบังคมและกล่าวว่า "องค์หญิงขอรับ วันนี้ขณะท่านหญิงที่เดินเล่นในสวนยามบ่ายท่านล้มขาหัก ตอนนี้ที่ตำหนักกำลังวุ่นวาย ท่านพ่อบ้านสั่งให้บ่าวมาทูลองค์หญิง และเชิญองค์หญิงกลับไปที่ตำหนักขอรับ"
"อะไรนะ ท่านแม่ขาหักงั้นหรือ?" หัวจิ้งยืนขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ใจจากบ่าวรับใช้แล้ว หัวจิ้งรีบหันกลับไปและกล่าวขอโทษหยุนชาง " น้องสาว พี่ขอโทษจริงๆ เดิมทีที่พาน้องที่มาวิหารแคว้นหนิงนี้ก็เพื่ออธิษฐานขอพรให้กับพระสวามีของพี่ แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นที่ตำหนักอย่างกะทันหัน พี่จำเป็นต้องเร่งกลับโดยเร็วที่สุด เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี เจ้ารอพักที่วิหารแห่งนี้สักสองสามวันดีหรือไม่ เกวียนม้าและคนบังคับเกวียนม้าพี่จะเหลือไว้ให้เจ้า หากเจ้าต้องการกลับไปที่พระราชวังเมื่อใดเจ้าก็ออกคำสั่งได้ในทันที "
หยุนชางพยักหน้าและพูดเบา ๆ "อืม เสด็จพี่โปรดวางใจได้เลยเพคะ วิหารนี้ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก เสด็จพี่กลับไปได้เลยเจ้าค่ะ เสด็จพี่เดินทางฟ้ามืดเช่นนี้ ต้องระวังด้วยนะเพคะ"
หัวจิ้งกล่าว " ขอบคุณนะ" และนางก็รีบออกไป
หยุนชางเฝ้าดูแผ่นหลังของหัวจิ้งหายไปในความมืดมนนี้ นางจึงยิ้มและนั่งลง และยกชามขึ้นเสวยพระกระยาหารค่ำต่อ
"องค์หญิงเจ้าคะ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ท่านแม่พระสวามีประสบอุบัติเหตุในเพลานี้ บ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงหัวจิ้งหวังทำร้ายองค์หญิงในวิหารนี้?" สายตาของฉินยีมองออกไปด้านนอกประตู และกล่าวด้วยความกังวล
หยุนชางไม่ได้ตอบกลับ นางเสวยพระกระยาหารค่ำอย่างเงียบ ๆ จนฉินยียื่นผ้ามานางเอาไปเช็ดมือแล้วจึงกล่าวว่า "นางรู้ดีว่าข้าอาศัยอยู่ในวิหารมาหลายปี หากคิดจะลงมือที่นี่ นั่นไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเสียเลย นางคงไม่มีทางโง่เขลาเช่นนี้หรอก ข้าคิดว่า เพียงแค่ข้าบอกกับคนบังคับเกวียนม้าว่าข้าต้องการกลับวังเมื่อใด เมื่อนั้นก็คงมีมือลอบสังหารคอยอยู่ระหว่างทางกลับวังแล้วล่ะ"
ฉินยีตกใจ และกล่าวพร้อมขมวดคิ้วว่า "ตอนนี้พวกหนิงเชียนอยู่ที่พระราชวัง องค์หญิงมีหม่อมฉันเพียงคนเดียว หากมีการลอบปลงพระชนม์ระหว่างทาง ก็คงอันตรายมากเลยมิใช่หรือเจ้าคะ องค์หญิงเจ้าคะ หรือว่าให้หม่อมฉันแยกทางไปกับองค์หญิง หม่อมฉันออกเดินทางก่อน ไปล่อพวกนั้นออกไป"
หยุนชางยิ้มออกมา "ยัยโง่ พวกเรายังมีเวลาอีกเยอะ ในเมื่อหัวจิ้งบอกแล้วว่าข้าสามารถอาศัยที่วิหารต่อได้อีกหลายวัน ถ้าเช่นนั้นเราก็อยู่ต่ออีกสักสองสามวัน ในสองสามวันนี้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าเห็น ว่าองค์หญิงของเจ้านั้นได้ฝึกวิชาอะไรมาบ้าง" เจตนาสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนชาง ทันใดนั้นมันก็หายวับไป
"องค์หญิงเจ้าคะ เราจะกลับวังกันเมื่อใดเจ้าคะ?"
หยุนชางคิดคำนวณอยู่ในใจ วันนี้เป็นวันที่เจ็ดเดือนกันยายนของปฏิทินจันทรคติ ชาติที่แล้ว เดือนกันยายนของปีนี้มีเรื่องใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง.......
หยุนชางยิ้มมุมปาก "อีกสี่วัน เราจะกลับวังกัน"
หยุนชางอาศัยอยู่ที่วิหารอย่างสงบเป็นเวลาสี่วัน เช้าวันที่ 12 กันยายน หยุนชางก็ให้ฉินยีแจ้งคนบังคับเกวียนม้า เตรียมออกเดินทางกันได้เลย
หัวจิ้งทิ้งทหารสองคนและคนบังคับเกวียนม้าไว้ พวกเขาค่อยๆ ออกเดินทางไปที่พระราชวัง เมื่อออกเดินทางได้กว่าหนึ่งชั่วโมง เกวียนม้าก็เข้าสู่ป่าทึบ ทันใดนั้นเกวียนม้าก็หยุดลง ฉินยีรู้สึกสงสัยจึงเปิดม่านออก และสีหน้าของนางก็ขาวซีดเล็กน้อย " องค์หญิงเจ้าคะ คนบังคับเกวียนม้าและทหารหายไปแล้วเจ้าค่ะ......."
ทันทีพูดจบ นางก็เห็นชายสวมหน้ากากมากกว่าสิบคนขี่ม้าแล้วพุ่งเข้ามา ฉินยีกรีดร้องออกมา " องค์หญิงเจ้าคะ มีมือสังหารเจ้าค่ะ! "
ใบหน้าของหยุนชางสงบนิ่งและกล่าวเบาๆ ว่า "ฉินยี หลับตาลง"
ฉินยีหลับตาลงตามที่นางบอก และนางก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันดังมาจากด้านนอก นางใจหวิวอย่างมากแม้ว่าจะรู้สึกสงสัย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมา นางยื่นมือออกไปและคว้าหยุนชางไว้ เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง