ในลานจัดเลี้ยงเงียบสงัด ผ่านไปสักครู่ เพียงได้ยินเสียงของจิ้งอ๋องดังขึ้น สัมผัสได้ถึงมีความปรนเปรอเล็กน้อย ไม่มีความเงียบสงัดก่อนหน้านี้อีกต่อไป "ชางเอ๋อร์ ปลาเปรี้ยวหวานนี้ทำได้ดี เจ้าลองชิมดู?"
หยุนชางไม่ตอบรับ เงยหน้าขึ้นมาดู แววตาที่เผยถึงความแปลกใจ "เอ๋? หญิงสาวนางนี้มิใช่หญิงป่าเถื่อนที่ต่อว่าท่านอ๋องในตลาดหรือ หือ? ทุกวันนี้นางรำก็มีอารมณ์ร้อนเยี่ยงนี้แล้วหรือ? หรือว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง?"
ฉีหวั่นจือนึกไม่ถึงว่าคนแรกที่พูดกับนางนั้นจะเป็นหยุนชาง และทันทีที่นางเอ่ยปากพูดก็พูดถึงเรื่องที่ตนต่อว่าจิ้งอ๋องที่ตลาดก่อนแล้วค่อยพูดว่า นางรำมีอารมณ์ร้อนเยี่ยงนี้ หรือเพราะมีคนอยู่เบื้องหลัง ด้วยวิธีนี้ นางไม่เพียงแต่ดูถูกนางที่เป็นนางรำเท่านั้น แต่ยังทำให้ท่านลุงและท่านป้าของนางตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกด้วย หากไม่ยอมรับฐานะตัวตนของนาง การเตรียมการทั้งหมดในวันนี้จะไร้ประโยชน์ หากยอมรับตัวตน จะกลายเป็นว่ายอมรับว่ามีพวกท่านอยู่เบื้องหลังนาง
ฉีหวั่นจือกัดฟัน ก่อนหน้านี้ท่านป้าของนางได้พูดกับนางเป็นการพิเศษว่า พระชายาคนนี้ไม่ง่ายที่จะต่อกรกับนาง นางจึงไปหาข้อมูลมา ข้อมูลที่ได้รับคือพระชายาร่างกายอ่อนแอและขี้โรค แม้จะเป็นหญิงรูปงาม แต่นางกลับอ่อนแอ พอเห็นที่ตลาดวันนี้ก็รู้สึกว่านางมีเป็นผู้ที่อ่อนโยน ไม่เหมือนกับที่ท่านป้ากล่าวไว้ นางจึงไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ แต่ไม่คิดว่านางจะเป็นคนแรกที่โจมตีตน
วิธีการต่างๆ แวบเข้ามาในหัวของฉีหวั่นจือ หลังจากนั้นไม่นานนางก็ยืดตัวขึ้นและกำลังจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันหลังกลับ "นางไม่ใช่นางรำ นางเป็นบุตรีของตระกูลฉี"
แต่ว่า ก่อนจะพูดออกไป นางก็ได้ยินเสียงของจิ้งอ๋อง เสียงนั้นเบาอ่อนโยน แต่กลับทำให้ฉีหวั่นจือสั่นสะท้าน "ก็เป็นแค่นางรำ ถ้าชางเอ๋อร์มิชอบที่จะชม ก็แค่ลากตัวออกไป และสัญญาว่านางจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าชางเอ๋อร์อีก จะได้ไม่ให้รบกวนสายตาของชางเอ๋อร์"
ทันทีที่เสียงลดลง เสียงของคู่สามีภริยาฉีหล่างและฉีหวั่นจือก็เปล่งออกมาพร้อมกัน "ท่านอ๋องมิได้นะขอรับ/เจ้าคะ" "ทำไมท่านต้องฆ่าข้า"
เสียงสุดท้ายคือได้ปกคลุมเสียงของคู่สามีภริยาฉีหล่าง ฉีหวั่นจือลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่จิ้งอ๋องและหยุนชางอย่างเย็นชา "ข้าไม่ใช่นางรำแต่อย่างใด ท่านเป็นจิ้งอ๋องแล้วอย่างไร ท่านจะฆ่าคนอื่นตามใจชอบได้หรือ ไม่มีกฎหมายในสายตา..."
ก่อนที่จะพูดจบ ก็เห็นแขนเสื้อของจิ้งอ๋อง ยกมือขึ้น และสะบัดแขนเสื้อ ได้ยินเพียงว่า "อ่า..." ฉีหวั่นจือก็ลอยตัวออกไปราวกับตุ๊กตาเศษผ้า ตกลงที่กลางลานสนาม ดูเหมือนว่านางกระแทกลงอย่างแรง ฉีหวั่นจือพยายามลุกขึ้น แต่กลับอาเจียนเป็นเลือด แล้วคลานกลับไป
"ในเมื่อเจ้าไม่ใช่นางรำ เจ้าก็เป็นนางรำตัวปลอม ตั้งใจมาลอบสังหารข้าและพระชายา ทหาร..." จิ้งอ๋องคว้าตัวหยุนชางไว้ในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงของเขาอย่างเกียจคร้าน แต่แฝงด้วยความสง่างาม ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความเกรงขาม..
"ท่านอ๋องมิได้นะขอรับ/เจ้าคะ..." ฉีหล่างและภริยาของเขารีบลุกขึ้น คุกเข่าลงกับพื้น "ท่านอ๋อง หญิงสาวคนนี้เป็นบุตรีของน้องชายของข้าน้อย แต่เพราะความขี้เล่นของนาง นางจึงปลอมตัวเป็นนางรำมาแสดง เป็นเพราะข้าน้อยสั่งสอนไม่ดี ขอท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วยขอรับ"
จิ้งอ๋องเหลือบมองฉีหล่างและภริยาอย่างเฉยเมย และรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา "โอ้? ที่แท้คนที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวนางนี้ ผู้ที่ทำให้เป็นหญิงสาวนางนี้หยิ่งผยอง คือแม่ทัพฉี?" หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาพูดอีกครั้ง แต่มันก็เย็นชาลงกว่าเดิม "วันนี้ข้าได้ไปเดินเที่ยวชมตลาดในเมืองคังหยาง สังเกตเห็นว่า ผู้คนในเมืองคังหยางถือว่าแม่ทัพฉีเป็นสวรรค์ และรู้จักเพียงแม่ทัพฉีไม่รู้ว่าใครเป็นฮ่องเต้ ไม่น่าแปลกใจเลย ลำพังแค่บุตรีของน้องชายท่านแม่ทัพ จะวางอำนาจเยี่ยงนี้ในเมืองคังหยางได้ ตำแหน่งแม่ทัพฉีนี้ ทำได้ดีมากจริงๆ..."
จิ้งอ๋องพูดจบ ก็ลุกยืนขึ้น ก้มลงพยุงหยุนชาง หยุนชางก็ยืนขึ้น และพูดอีกครั้งว่า "ทุกท่านเชิญตามสบาย อาหารของจวนฉีนั้นสูงศักดิ์ทรงเกียรติภูมิ ข้าไม่มีปัญาทานได้" หลังจากนั้นเขาก็พาหยุนชางจากไปจากลานงานเลี้ยงด้วยกัน
เมื่อเขาเดินออกจากลานงานเลี้ยง เขาพูดเบาๆว่า "จวนฉีนี้สูงส่งเกินไป เรากลับไปอยู่ในค่ายกันเถอะ ข้าเคยอาศัยอยู่ในค่ายจนชิน แต่คงจะลำบากพระชายาแล้ว"
หยุนชางหลบสายตา นัยน์ตามีรอยยิ้มเล็กน้อย "ลำบากอะไรกัน ตราบใดที่มีท่านอ๋องอยู่ด้วย มิลำบากเพคะ"
หยุนชางตอบรับ สั่งให้เฉี่ยนอินเก็บสัมภาระ อีกครั้ง แล้วเดินมุ่งไปที่ค่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง