คน ๆ นี้เป็นใคร แน่นอนว่าทุกคนรู้โดยไม่ต้องบอกกล่าว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครพูดออกมา หัวจิ้งเองอยู่ไม่นิ่งแล้ว เธอรีบเดินขึ้นไปแล้วคว้ามันมาอย่างรีบร้อน "ถุงหอมนี้เป็นของข้า แล้วไปอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?"
"ห๊ะ? " โม่จิ้งหรานพึมพำด้วยสีหน้าที่มึนงงและขาวซีดเล็กน้อย "ไม่จริงสิ เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นขององค์หญิงหยุนชางมิใช่หรือ? "
หยุนชางนั่งอยู่บนที่นั่งและได้ยินพูดถึงชื่อของตน เธอจึงมองไปด้วยความประหลาดใจ " ของชางเอ๋อร์งั้นหรือ? ฮ่าฮ่า คุณชายโม่อย่าได้หยอกล้อกับชางเอ๋อรืเลยเพคะ ไม่ปิดบังทุกคน ชางเอ๋อร์นั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเย็บปักถักร้อยเลยแม้แต่น้อย มือของข้าสามารถจับพู่กันได้ แต่ไม่สามารถจับเข็มเย็บปักถักร้อยได้ ยิ่งไปกว่านั้นชางเอ๋อร์อยู่ที่วิหารแคว้นหนิงมานาน ไม่ชอบพกถุงหอมติดตัวเพคะ"
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น? " จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและถามอย่างเสียงดัง
โม่จิ้งหรานและหัวจิ้งรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว หัวจิ้งก็รีบพูดว่า " เรียนเสด็จพ่อเพคะ ช่วงก่อนหน้านี้ถุงหอมของจิ้งเอ๋อร์ได้หายไปอย่างกะทันหันเพคะ จิ้งเอ๋อร์หาอยู่นานแต่ไม่เจอสักที แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดถุงหอมจึงไปอยู่ที่คุณชายโม่เพคะ"
โม่จิ้งหรานก้กราบอย่างเร่งรีบและกล่าวว่า "นี่ ... นี่ ... นี่ ...ถุงหอมนี้มัน ..."
"โม่จิ้งหราน เจ้าเอาถุงหอมนี้มาจากไหน?" จักรพรรดิหนิงดุอย่างโกรธเคือง
โม่จิ้งหรานรีบกราบไปสองสามทีกล่าวว่า "เรียนฮ่องเต้ กระหม่อมเก็บได้ขอรับ"
"เก็บได้งั้นหรือ? " จักรพรรดิหนิงเลิกคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมย " เก็บได้งั้นหรือ? ดีมาก ก่อนหน้านี้หัวจิ้งก็เอ่ยถึงเจ้าในงานเลี้ยงเลี้ยงฉลองชัยชนะแล้ว ตอนนั้นเจิ้นคิดว่าพกวเจ้ารู้จักกันเสียอีก แต่ข้าไม่ได้ครุ่นคิด และไม่คาดคิดว่าถุงหอมของเธอจะมาอยู่ในมือเจ้า ดีมาก! ดี! ดีเหลือเกิน!"
หัวจิ้งรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว "เสด็จพ่อเพคะ ถุงหอมของจิ้งเอ๋อร์หายไปเมื่อสองสามวันก่อนแล้วเพคะ หากเสด็จพ่อไม่เชื่อก็เรียกนางกำนัลมาซักถามได้แล้วจะทราบความจริงเพคะ"
"พอแล้ว คิดว่ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ยังไม่รีบกลับตำหนักไปคิดทบทวนตัวเองอีก ทั้งวันเอาแต่จัดงานเลี้ยงต่างๆ นาๆ แต่ไปก็ไม่ต้องทำเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกแล้ว ฝึกเล่นขิม หมากรุก หนังสือ แล้วก็วาดภาพอยู่ที่ตำหนักเสีย ไปฝึกฝนให้ความคิดของตนดีขึ้น ส่วนโม่จิ้งหราน ลากออกเฆี่ยนยี่สิบที" จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและดุด้วยความโกรธ
"ฮ่องเต้เพคะ ตอนนี้ท่านไม่มีมูลไม่มีหลักฐาน แล้วลงโทษจิ้งเอ๋อร์เลย แบบนี้คงไม่ดีมั้งเพคะ" ฮองเฮาขมวดคิ้ว
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็โกรธมากขึ้น " เจ้าเลี้ยงดูหัวจิ้งมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เธอกลายเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรกลับไปคิดทบทวนตัวเองเช่นกัน"
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าฮ่องเต้ทำให้เธออับอายต่อหน้านางสนมทั้งหลาย มันทำให้เธอนั้นรับมือได้ยาก ในใจเธอจึงมีไฟโกรธชั่วร้ายลุกขึ้นมา เธอลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า " หม่อมฉันรับทราบเพคะ" เธอสะบัดแขนเสื้อและลุกออกจากที่นั่งแล้วจากไป
หัวจิ้งรู้สึกเพียงว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมา จนทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวได้ หลังจากนั้นอยู่นานเธอจึงกล่าวด้วยเสียงเบาว่า " รับทราบเพคะ" หลังจากพูดจบ เธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปและเดินออกจากประตูไป
ในขณะนั้น ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงขิมที่แผ่วเบาดังขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินไม่ค่อยชัด แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่า เสียงขิมนั้นเต็มไปด้วยความรักและความรู้สึกผิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวไปตามเสียงนั้น ราวกับว่าทันใดนั้น ทุกคนต่างก็หลงใหลในเสียงขิมนี้ และนานที่ไม่มีใครส่งเสียงออกมา จนกระทั่งเสียงขิมค่อยๆ เงียบหายไป
"ไม่ทราบว่าใครกำลังเล่นขิม แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงขิมนี้จึงทำให้ฟังแล้วรู้สึกอยากร้องไห้" หยุนชางพูดออกมาเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้น อยากเห็นสีหน้าของจักรพรรดิหนิงในขณะนี้ แต่พบว่าเขาหายไปจากบนเก้าอี้มังกรนั้น ซึ่งไม่ทราบว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
"ช่างมันเถิด งานเลี้ยงวันนี้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถิด" หยุนชางถอนหายใจออก ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากหอหมิงเยว่ไปพร้อมกับฉินยี
หลังจากออกได้สักพัก หยุนชางก็ถามด้วยเสียงเบาๆ ว่า " เสด็จแม่ อยู่ที่ใด?"
ฉินยีได้ยินเช่นนี้แล้วชี้ไปที่ศาลาเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกล " ท่านอยู่ในศาลานั้น ตรงนั้นมีคนน้อย ท่านบอกว่าไม่มีคนมาพบอย่างแน่นอน"
หยุนชางพยักหน้าและเดินตรงไปที่ศาลานั้น
เมื่อเดินไปยังตำแหน่งที่ห่างจากศาลาประมาณสิบเมตร ก็ได้เห็นเงาร่างสองร่างยืนอยู่ในศาลา เงาร่างหนึ่งอันดูเล็ก และอีกหนึ่งอันดูมีสง่า ฉินยีอุทานแล้วปิดปากและพูดว่า "นั่นคือฮ่องเต้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง