เมื่อองครักษ์เงาถอยออกไปแล้ว. หยุนชางจึงเดินไปที่ห้องพักของเฉียนยินเพื่อเยี่ยมนางอีกรอบหนึ่ง แผนการของหลิ่วหยินเฟิงคิดได้รอบคอบเป็นอย่างมาก เขาได้ให้สาวใช้นางหนึ่งมาเฝ้าเฉียนยินอยู่ข้างกาย ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวของท่านหมอร้านขายยากระมัง เมื่อครั้งที่หยุนชางไปหาเฉียนยินนั้น กำลังเห็นนางกำลังเปลี่ยนยาให้เฉียนยินอยู่พอดี ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยความคล่องแคล่วว่องไวและชำนาญมือเป็นอย่างมาก
เมื่อสตรีนางนั้นเห็นหยุนชาง จึงยิ้มให้เล็กน้อย. รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายของประชาชนคนธรรมดา "นายหญิงนั่งลงเถิด หม่อมฉันจะเปลี่ยนยาให้แม่นางผู้นี้ " เมื่อพูดจบ พลางก้มหัวให้เล็กน้อย พร้อมทายาลงบนแผลอย่างระมัดระวัง
หยุนชางพยักหน้าลง พร้อมนั่งลงอยู่ข้าง ๆ เตียง สายตามองไปที่ใบหน้าของเฉียนยินเป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับไปไหน
เพียงชั่วครู่ สตรีผู้นั้นก็ได้เปลี่ยนยาจนเสร็จเรียบร้อย พลางลอบมองปฏิกิริยาของหยุนชาง พร้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยว่า "หม่อมฉันได้ยินจากคุณชายเล่าให้ฟังแล้วว่า นายหญิงเป็นเจ้านายของแม่นางท่านนี้หรือ ช่างเป็นนายหญิงที่ใส่ใจดูแลแม่นางผู้นี้เหลือเกิน"
หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันชะงักไปชั่วครู่ นางรู้มาว่าในตระกูลใหญ่หลาย ๆ ตระกูลมักจะทำการเฆี่ยนตีสาวใช้ตามใจชอบ นางพลันจ้องมองไปยังเฉียนยิน หยินชางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า "ข้ากับนางล้วนแต่โตขึ้นมาพร้อมกัน. แม้ว่าจะห่างกันไปหลายปี ทว่าครั้งนี้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตข้านางถึงได้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เป็นความผิดของข้าเอง. หากข้าฉุกคิดให้ละเอียดถีถ้วนมากกว่านี้ละก็ หากข้าใจเย็นสักนิด เรื่องราวเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น "
สตรีนางนั้นพลันรีบร้อนพูดปลอบใจขึ้นมาว่า "เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ. ที่พูดถึงเรื่องราวที่นายหญิงเศร้าเสียใจขึ้นมา"
หยุนชางพลันส่ายหน้าไปมา พลางนั่งอยู่ภายในห้องอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยกลับไปยังห้องของตนเอง
ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจไปพักฟื้นที่เมืองหลีแล้ว. ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอหลังจากเฉียนยินฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ถึงจะวางแผนขั้นต่อไป เฉียนยินยังมิได้ฟื้นขึ้นมาจึงมิสามารถเคลื่อนย้ายนางไปไหนได้
ตอนนี้อยู่ที่ตำบลฉีหลานมาได้สามวันแล้ว หยุนชางกำลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์เงาที่พูดถึงสถานการณ์ในตำบลฉีหลานว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาสอบถามตามบ้านในตำบลฉีหลานว่า มีใครเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองนี้บ้าง แต่เดิมผู้คนในตำบลฉีหลานล้วนแต่มีไม่เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นลักษณะการกระทำของกลุ่มคนน่ากลัวกลุ่มนี้ จึงเป็นที่หน้าจับตามองเป็นอย่างมาก
"ร้านยาของพวกเราตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก สองวันมานี้ ท่านพ่อเปิดปิดร้านตรงเวลาทุกวัน อีกทั้งยังตรวจคนไข้ตามปกติอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสมุนไพรของพวกเราส่วนใหญ่ก็ไปเก็บจากบนภูเขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกท่านได้เพคะ"
สตรีร้านยาที่คอยดูแลเฉียนยินอยู่นั้นชื่อหลานซิน. เป็นแม่นางที่มีความรู้เป็นอย่างมาก หากแต่แม่นางผู้นี้เสมือนว่าจะมีความประทับใจต่อหลิ่วหยินเฟิง เมื่อตอนที่ยืนอยู่ข้างตะแกรงตากสมุนไพรในลานบ้าน ก็คอยลอบมองลงไปดูหลิ่วหยินเฟิงที่กำลังยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนอนอ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ด้วย พร้อมแอบมองด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เสมือนว่าหลิ่วหยินเฟิงจะไม่รู้เรื่องนี้กระมัง เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกระซิบตอบว่า "ต้องขอบคุณแม่นางหลานซินแล้ว"
หยุนชางที่ยืนอยู่ในห้อง. ในขณะที่กำลังเปิดหน้าต่างออกไปนั้น พลันนึกถึงเรื่องราวในวันที่หลิ่วหยินเฟิงสารภาพรักกับนางขึ้นมา สายตานางมองไปยังหลิ่วหยินเฟิง แม้ว่าจะอยู่ในตำบลเล็ก ๆ แห่งนี้ ทว่าชายผู้นี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากอิสตรีได้ง่ายดายเสีย ชายผู้นี้ที่ถูกเรียกว่ากุนซือจิ้งจอก เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การรบและการจัดทัพ กลับมาบอกว่าชอบนางงั้นหรือ ?
หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง พูดตามจริง ในเรื่องด้านอารมณ์ของนางมีความพัฒนาการมากขึ้นเป็นอย่างมาก จากชาติที่แล้ว นางถูกฮองเฮาและหัวจิ้งควบคุมให้ชอบโม่จิ้งหราน. ในเวลานั้นที่นางชอบโม่จิ้งหรานเป็นเพราะความหล่อเหลาและการพูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจของเขา ในครานั้นนางผู้ที่ใสซื่อจึงโดนผู้คนชักจูงได้ง่ายจึงโดนหลอกเข้า จนถึงตอนนี้ เมื่อนางครุ่นคิดดูแล้ว เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะนาง ที่เติบโตมาจากส่วนลึกของวังหลัง จึงทำให้พบเจอผู้ชายน้อยมาก จึงมิรู้ว่าแท้จริงแล้ว ความรักคืออะไรกันแน่
ในชาตินี้ นางจึงมิได้ครุ่นคิดถึงความรักมากนัก หากแต่โดนลั่วชิงเหยียนดึงดูดความสนใจเข้าให้ และต้องแต่งให้เขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครั้งที่แต่งงานกันช่วงแรกเริ่มนั้น นางมิรู้จริง ๆ ว่าควรจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร จึงปฏิบัติตนให้ความเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส ในฐานะคนสนิทรวมถึงมิตรสหายด้วย เป็นการอยู่ด้วยกันโดยที่มิได้สนิทสนมกันมาก ทว่า ต่อมาเมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น จึงเริ่มที่จะรู้จักใส่ใจกันและกัน ภายในใจครุ่นคิดเรื่องใด ก็มักจะมีเรื่องราวของเขาอยู่ด้วย เสมือนว่าค่อย ๆคุ้นชินกับการอยู่ด้วยกันไปเสียแล้ว หลังจากนั้นความรักจึงค่อยๆ สลักเข้าไปภายในก้นบึ้งของจิตใจของนาง
ทว่า สำหรับหลิ่วหยินเฟิงนั้น ในคราที่พบกันครั้งแรก พวกเขากลับพบกันในฐานะศัตรู หยุนชางได้ให้คนไปสืบหาข้อมูลของเขารวมทั้งตรวจสอบภูมิหลังของเขาด้วย จึงถือว่าพอจะคุ้นเคยกับเขาอยู่บ้าง ทว่า เขากลับเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น อีกทั้งเขายังทำให้ลั่วชิงเหยียนเกือบไม่มีชีวิตรอด นั่นจึงทำให้ภายในใจของนางมิค่อยชอบหลิ่วหยินเฟิงมากนัก หลังจากนั้นเมื่อได้เจอกันที่พระราชวังอีกครั้ง เขาก็ได้ช่วยเหลือนางครั้งหนึ่ง นางรู้สึกซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย แต่นั้นมาจึงค่อย ๆ สนิทกันมาขึ้นเรื่อย ๆ จึงรู้สึกว่าหลิ่วหยินเฟิงผู้นี้สามารถนับเป็นสหายได้ แต่ว่า จากข้อมูลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อนั้น จึงทำให้ลั่วชิงเหยียนมิค่อยชอบที่นางไปเข้าใกล้หลิ่วหยินเฟิงมากนัก หยุนชางจึงมิได้คิดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าก็ค่อย ๆ รักษาระยะห่างกับเขา
หลังจากถึงแคว้นเซี่ยได้ไม่นานนั้น เนื่องจากคนในแคว้นเซี่ยที่รู้จักมีนิสัยน่ารัก หลิ่วหยินเฟิงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น จึงเกิดความไว้ใจบ้างเล็กน้อย หากแต่นางเข้าใจได้ว่า ตนเองกับหลิ่วหยินเฟิงความสัมพันธ์ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้แน่
หากแต่ คำสารภาพของหลิ่วหยินเฟิงก็ทำให้นางรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เกรงว่าหากปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งไป. อาจจะเป็นการหักหน้าหลิ่วหยินเฟิงได้ แต่ทว่า หากมิได้ปฏิเสธอะไรเลย ก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังต่อหลิ่วหยินเฟิง อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง