ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองชั่วครู่ จากนั้นจึงปิดม่านรถแล้วนั่งอยู่อย่างอึดอัดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า "จู่ๆ เจ้าก็บอกว่าเจ้าอยากจะออกไปไหว้พระ เป็นเพราะเจ้ารู้เรื่องที่อ๋องเจ็ดคุกเข่าอยู่นอกตำหนักไท่จี๋ทั้งคืนและเดาได้ว่าฝ่าบาททรงต้องการจะทำอะไรจึงกลัวว่าข้าจะไม่พอใจจึงได้ตั้งใจพาข้าออกจากเมืองมางั้นหรือ?"
หยุนชางประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ลั่วชิงเหยียนก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งยังคาดเดาได้แม่นยำนัก นางคิดแล้วก็ยิ้มออกมา "เรื่องบางเรื่องนั้นหากจะต้องเกิด เราก็ได้แต่มองมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แทนที่จะรู้สึกไม่มีความสุข ไม่สู้ใช้ชีวิตของเราให้ดี"
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็เข้าใจ เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่น "ข้าไม่เข้าใจ ทำไมฝ่าบาทถึงได้ตามใจเขาเช่นนั้น?"
"นี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ข้าเชื่อมาตลอดว่าทุกอย่างย่อมมีเหตุผล คราวนี้ถือว่าเราพลาดไป แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจฝ่าบาทจะต้องไม่วางใจอย่างแน่นอน ส่วนพวกเรานั้น คราวหน้าก่อนจะทำการใดต้องเตรียมการเป็นอย่างดี ต้องหาสาเหตุที่ฝ่าบาททรงปล่อยปละละเลยตามใจท่านอ๋องเจ็ดเสียก่อนแล้วจึงจะได้จัดการได้ถูก ครั้งหน้าจะต้องกำราบได้ในหมัดเดียว" หยุนชางยิ้มบางๆ "ยังมีเวลาอีกมากและคราวนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อย... "
หยุนชางใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า "อย่างน้อยเราก็สามารถใช้เรื่องนี้เพื่อยั่วยุใครบางคนได้..."
ลั่วชิงเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็เอียงคอมองหยุนชางพลางขมวดคิ้วครุ่นคิดชั่วครู่ "เจ้าหมายถึงฮองเฮาหรือ?"
หยุนชางยิ้มและพยักหน้า "การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทนั้น เดิมทีท่านอ๋องเจ็ดก็เป็นตัวการ เราพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ฮองเฮารู้ว่าฝ่าบาทเป็นผู้ให้ท่านอ๋องปล่อยท่านอ๋องเจ็ดไปด้วยตนเอง เมื่อตอนนี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ฝ่าบาทย่อมออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย ฮองเฮาจึงอาจจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเรื่องเพลิงไหม้ในจวนท่านอ๋องเจ็ดและเหตุใดเข้าจึงคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักไท่จี๋ หากให้ฮองเฮารู้เรื่องทั้งหมดนี้ไม่รู้ว่านางจะคิดเช่นไร"
ลั่วชิงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและเงียบไม่เอ่ยอะไรอยู่นาน
"ฮองเฮาสูญเสียลูกชายไปในวัยกลางคน เกรงว่านี่คงเป็นสิ่งที่นางเคียดแค้นที่สุดในชีวิตนี้แล้วกระมัง" หยุนชางยิ้มบางๆ ดวงตาของนางแฝงแววเย็นชาเล็กน้อย ชาติก่อนนางเคยประสบความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชาย นางย่อมรู้ดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด นอกจากนั้นนางสามารถร้องไห้โวยวายได้ แต่ฮองเฮากลับทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน แม้จะรู้ว่าศัตรูอยู่ตรงหน้า แต่กลับทำได้เพียงแสร้งยิ้มอย่างใจกว้างสง่างาม แต่การที่ยังยิ้มได้ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เจ็บปวด ทว่าหมายความว่านางซ่อนความเจ็บปวดไว้ได้ลึกพอเท่านั้น
"ตกลง ทำตามที่เจ้าพูดเถอะ" ลั่วชิงเหยียนถอนหายใจเบาๆ หลับตาและพิงผนังรถม้า ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยิ้มเยาะตนเอง "สิ่งที่ยากที่สุดในการคาดคะเนก็คือหัวใจของผู้คน"
หยุนชางรู้ว่าเขายังคงไม่มีความสุขนัก แต่สิ่งที่หยุนชางควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว หยุนชางก้มหน้าลง จับมือของลั่วชิงเหยียนแน่นพลางยิ้มและกล่าวว่า "กลัวอะไร ยังมีหนทางจะยาวไกล แม้ว่าวันนี้ท่านอ๋องเจ็ดจะหยิ่งทะนงเพียงใด คนที่หัวเราะคนสุดท้ายย่อมต้องเป็นพวกเราเท่านั้น ข้าเชื่อในตัวท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ควรเชื่อมั่นในตนเอง"
ลั่วชิงเหยียนขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วดึงหยุนชางเข้ามาในอ้อมแขนและจูบที่แก้มของนาง เขาพยักหน้าเบาๆ "ชางเอ๋อร์พูดถูก ผู้ชนะคนสุดท้ายจะต้องเป็นพวกเราเท่านั้น"
วัดหลิงอิ่นอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว ฉินยีเปิดประตูรถม้าออก ลั่วชิงเหยียนกระโดดลงไปก่อนแล้วจึงเอื้อมมือมาพยุงหยุนชางลงจากรถม้า
วัดหลิงอิ่นอยู่บนครึ่งทางขึ้นเขา แต่โชคดีที่ไม่มีบันไดรถม้าจึงได้จอดลงที่หน้าวัดโดยตรง หยุนชางเงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูวัดหลิงอิ่น นางยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเข้าไปในวัดพร้อมลั่วชิงเหยียน
แม้ว่าจะเป็นวันตรุษจีน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่มาไหว้พระและขอเซียมซีปีใหม่
เนื่องจากรูปลักษณ์ของลั่วชิงเหยียนและหยุนชางนั้นโดดเด่นมากจึงได้มีคนมามุงดูอยู่ตลอดทาง ลั่วชิงเหยียนกลัวว่ามีคนไปมาจำนวนมากจะชนเข้ากับร่างกายของหยุนชงเข้า เขาจึงโอบนางและให้ฉินยีไปหาเจ้าอาวาสโดยตรง เจ้าอาวาสจึงพาทั้งสองไปที่ห้องรับรองบนภูเขาด้านหลังของวัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง