เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ฟังแล้ว เขาก็คว้าหยุนชางเข้ามาสวมกอด เขายิ้มแล้วพูดกับนางว่า "เช่นนี้แล้ว ข้าก็ต้องขอบใจเจ้า หากไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่รู้ว่าเทศกาลโคมไฟเป็นอย่างไร"
ทั้งสองยืนพูดคุยกันอยู่ใต้ชายคา หลังจากนั้นไม่นาน ฉินยีก็ได้ยกสำรับเดินมา ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในห้อง
"ช่วงเทศกาลโคมไฟ ผู้คนในแคว้นเซี่ยนิยมรับประทานบัวลอย แต่แคว้นหนิงของเราจะนิยมรับประทานเกี๊ยว วันนี้หม่อมฉันก็เลยให้ห้องเครื่องเตรียมทั้งเกี๊ยวและบัวลอย โปรดเสวยสิ่งใดจะได้เลือกเสวยได้เพคะ" ฉินยียิ้มพร้อมจัดวางชามเครื่องเสวย
"เกี๊ยวนี่เป็นไส้ผักกาดขาวกับเนื้อหมู ส่วนบัวลอยเป็นไส้งาดำเพคะ ท่านอ๋องและพระชายาลองเสวยดูสิเพคะ รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?"
หยุนชางเสวยเกี๊ยวเข้าไปคำหนึ่ง นางพยักหน้า "อร่อย" จากนั้นก็คีบบัวลอยมาชิม สักพักนางก็เบ้ปาก "หวานจัง"
เมื่อฉินยีและลั่วชิงเหยียนเห็นดังนั้นแล้วก็หัวเราะออกมาในทันที
"วันนี้ดูพระชายาทรงสำราญดีนะเพคะ" ฉินยีพูดขึ้นเบาๆ
หยุนชางยิ้ม "ก็ต้องมีความสุขน่ะสิ ก็วันนี้เป็นวันเทศกาลโคมไฟนี่นา เทศกาลโคมไฟเป็นวันที่คนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ท่านตาส่งจดหมายมาบอกว่าวันนี้จะเดินทางมาถึงเมืองจิ่นแล้ว"
เมื่อลั่วชิงเหยียนได้ฟังจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนี้หยุนชางจึงได้ดูมีความสุขนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเซียวหย่วนซานกำลังเดินทางมานั่นเอง
"ไหนๆวันนี้ข้าก็ได้หยุดพักแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปรับมหาราชครูเซียวที่ชานเมืองก็แล้วกัน" ลั่วชิงเหยียนเอ่ย "ข้าได้ยินมาว่า ใจกลางเมืองจิ่นในวันนี้จะมีงานแสดงโคมไฟและการเชิดมังกร คงจะคึกคักไม่น้อยเลย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดูนะ"
หยุนชางมองค้อนลั่วชิงเหยียนในทันที "ท่านตาของท่านข้ายังเรียกว่าท่านตาเลย ท่านตาของหม่อมฉัน ท่านก็ควรจะเรียกว่าท่านตาเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือเพคะ? ไยต้องเรียกว่ามหาราชครูเซียวด้วย"
เมื่อลั่วชิงเหยียนเห็นหยุนชางทำท่าทางสะบัดสะบิ้งเช่นนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ "งั้นหรือ? แต่ข้าจำได้ว่า เมื่อตอนที่อยู่แคว้นหนิง เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จอาไม่ใช่หรือ? หืม? มหาราชครูเซียวเคยเป็นราชครูของเสด็จพี่ของข้า แล้วก็เคยสอนข้าด้วยเช่นกัน ข้าเคารพนบนอบ ยกย่องให้เขาเป็นครูมาโดยตลอด เจ้าจะให้ข้าเรียกเขาว่าท่านตา ข้าเรียกไม่ถนัดปากจริงๆ ต่อให้ข้าจะเรียกท่านตาจริงๆ ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่ยอมขานรับ"
หยุนชางที่เห็นท่าทางคุยโวของลั่วชิงเหยียนแล้วก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เด็ดขาด พลางกัดฟันพูดว่า "เสด็จอา เสวยบัวลอยของพระองค์เถอะเพคะ"
ลั่วชิงเหยียนหัวเราะออกมาอีกครั้ง แต่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งทำให้หยุนชางจ้องเขม็งมาที่เขา
เมื่อเสวยมื้อเช้าเสร็จแล้ว ฉินยีก็เข้ามาช่วยหยุนชางแต่งตัว หยุนชางครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "สวมชุดที่เฉียนสุ่ยส่งมาให้เมื่อวานนี้ดีกว่า ข้าอยากสวมเสื้อผ้าที่ดูสดใส"
ฉินยีรับคำ นางยิ้มและเอ่ยว่า "นายท่านเซียวชอบดูพระชายาสวมฉลองพระองค์ที่เหมือนตุ๊กตาแห่งโชคลาภ" พูดจบก็ไปหาชุดกระโปรงบานๆสีแดงปักลายเมฆมาให้หยุนชางสวมใส่ จากนั้นก็สวมชุดคลุมสีขาวปักลายเมฆเช่นเดียวกันทับอีกชั้นหนึ่ง เมื่อหยุนชางก้าวเดิน ก็งดงามราวกับปุยเมฆเคลื่อนตัว
ฉินยีเองถึงกับอุทานออกมาว่า "ฝีมือของแม่นางเฉียนสุ่ยช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ฉลองพระองค์ชุดนี้แม้จะไม่เน้นทรงเอวดังเช่นฉลองพระองค์รัดเอว แต่กลับดูฟูฟ่องสวยงาม สวมใส่ออกมาแล้วราวกับเป็นเทพธิดาผู้เลอโฉมเสด็จลอยลงมาจากสรวงสวรรค์เลยเพคะ"
หยุนชางถึงกับหัวเราะ "ประเดี๋ยวเราไปที่หอเฉียนสุ่ยอี้เหรินกันนะ เจ้าจะได้ไปชื่นชมผลงานของนางให้นางฟังด้วยตัวเอง นางคงจะภูมิใจมากเลยทีเดียว"
ฉินยีก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน นางมองดูชุดที่หยุนชางสวมใส่ แล้วจึงให้หยุนชางไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง "พอดีเลยเพคะ ทำพระเกษาทรงนางอัปสร แล้วปักปิ่นลายดอกท้อ จะต้องทรงพระสิริโฉมงดงามเหนือผู้ใดเป็นแน่"
หยุนชางเห็นท่าทางที่มุ่งมั่นของฉินยีแล้ว จึงให้นางทำผมไปตามใจนาง เมื่อทำผมเสร็จแล้ว จึงไปหาลั่วชิงเหยียนที่ห้องหนังสือ
ทันทีที่ลั่วชิงเหยียนได้เห็นหยุนชางก็ถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่ เมื่อเขาได้สติคืนมาแล้ว จึงเดินเข้าไปหาหยุนชาง "ข้าไม่เคยเห็นเจ้าแต่งกายเช่นนี้มาก่อนเลย ช่างงามเหลือเกิน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง