แม้จะอยู่ไกลเกินกว่าที่จะเห็นสีหน้าของคุณชายซูหวู่ แต่หยุนชางก็นึกภาพออกมาได้ว่าเขาจะโกรธเคืองเพียงใด แต่ไม่คาดคิดว่าจวนซูนั้นมีชื่อเสียงและเกียรติคุณเช่นนี้ในเมืองแห่งนี้ นอกจากนางแล้วก็ยังมีคนกล้าทำเช่นนี้ น่าสนใจดี
อาจเป็นเพราะว่าเห็นว่ามีคนขว้างไข่ไป ชาวบ้านมากมายจึงโยนของในมือไปที่คุณชายซูหวู่เช่นกัน หยุนชางอมยิ้ม ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของคุณชายซูหวู่ในเมืองจิ่นนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นะ
อาหารของโรงเตี๊ยมทำเสร็จอย่างรวดเร็ว อาหารก็มาถึงโต๊ะแล้ว เมื่อสักครู่ที่หยุนชางนั่งรออาหาร นางก็กินขนมเกาลัดและขนมห่อใบบัวที่เฉี่ยนหลิ่วและฉินยีซื้อมาบ้างแล้ว นางอิ่มเล็กน้อยจึงหยิบตะเกียบมาลองรสชาติของอาหาร รสชาตินั้นมิได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไหร่ อยู่ในระดับปานกลาง หยุนชางจึงวางตะเกียบลงมิได้กินต่อ
คนของจวนซูมิได้มาเร็วเท่าที่คิด หยุนชางวางตะเกียบลงแล้วนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเห็นว่ามีคนของจวนซูมา และพาผู้ติดตามมาจำนวนมาก พวกเขาเดินไปที่จุดที่คุณชายซูหวู่ถูกมัดเอาไว้ และกำลังจะปล่อยคุณชายซูหวู่ไป แต่ถูกองครักษ์ห้ามเอาไว้ หยุนชางเห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้ามองมาทางนี้ รูปลักษณ์ของเขาคุ้นตาอย่างมาก
เขาเป็นลูกชายของซูฉี ลูกคนที่สี่ ดูเหมือนว่าจะชื่อซูยุนจือ ได้ยินมาว่าในบรรดาลูกชายของซูฉี เจ้าซูยุนจือที่แหละเป็นคนที่เหลวไหลไม่เอาไหนมากที่สุด เขาไม่ชอบเล่าเรียนไม่ชอบทำทัพสู้รบ แต่ชอบเพียงเครื่องดนตรีต่างๆ จึงรับตำแหน่งผู้ดูแลในสำนักเพลงของพระราชวัง
หยุนชางยิ้มมุมปาก นางคิดว่าซูฉีจะออกตัวเองเสียอีก แต่ไม่คาดคิดว่าคนที่มากลับเป็นเพียงคนที่ไม่มีความสำคัญกระไร
จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นข้างนอก เสี่ยวเอ้อร์ประจำโรงเตี๊ยมเปิดประตูเข้ามาและกล่าวว่า "ท่านฮูหยินขอรับ เกิดเรื่องแล้วขอรับ จวนซูพาคนมาที่นี่ ท่านฮูหยินเร่งหนีไปเถิดขอรับ"
หยุนชางยิ้มและหยิบตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมาแล้วยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่เป็นกระไรหรอก ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนี ข้ายังกินอาหารไม่เสร็จเลย"
ขณะที่กำลังพูดอยู่ นางได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังมาจากตรงบันได หยุนชางเห็นว่าสีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ขาวซีดขึ้นมาในทันที และกล่าวพึมพำว่า "อย่าได้ต่อสู้กันในนี้เลย หากว่าทำข้าวของเสียหายข้าไม่กล้าไปทวงให้พวกเขาชดใช้หรอกนะ"
หยุนชางอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงรีบพูดขึ้นมาว่า "พี่เสี่ยวเอ้อร์มิต้องกังวล หากว่าข้าวของเสียหาย ข้าชดใช้เอง"
ขณะที่นางพูด เขาก็เห็นว่าซูยุนจือเดินเข้ามาจากนอกประตู แล้วเดินมาคุกเข่าหน้าโต๊ะของหยุนชางอย่างกะทันหัน "ข้าน้อยน้อมถวายบังคมต่อพระชายาขอรับ..........."
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงอยู่กับที่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ และหันไปมองหยุนชางอย่างแข็งทื่อ
หยุนชางค่อย ๆ อมยิ้มขึ้นมา "ใต้เท้าซูนี่เอง ข้าคิดว่าซูไท่เว่ยจะมาด้วยตัวเองเสียอีก"
เห็นได้ชัดว่าซูยุนจือฟังการเสียดสีในคำพูดของหยุนชางออก เขาตัวสั่นเล็กน้อยและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเร่งตอบว่า "ฝ่าบาททรงตามเสด็จพ่อเข้าวังเพื่อหารือเกี่ยวกับราชกิจขอรับ ฉะนั้นในจวนจึงมีข้าน้อยที่พอมีเวลาว่างขอรับ หลานของข้าน้อยมีตาแต่หามีแววไม่ขอรับ จึงได้ทำให้พระชายารุ่ยอ๋องขุ่นเคือง พระชายารุ่ยอ๋องโปรดยกโทษให้เขาด้วยเถิดขอรับ ปล่อยเขาไปเถิดขอรับ"
"ปล่อยเขาไป?" หยุนชางมองไปที่ซูยุนจือด้วยรอยยิ้มราวกับว่านางได้ยินเรื่องตลก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหลือเชื่อเล็กน้อย "ใต้เท้ากล่าวว่าข้าจำต้องปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ? ใต้เท้าซูทราบหรือไม่ว่าเขากล่าวเช่นไรต่อข้าบ้าง? อ๋อ ข้าลืมไปแล้วว่าใต้เท้าซูเพิ่งมาถึง ฉะนั้นก็คงไม่ทราบหรอก เช่นนั้นข้าจะบอกกับใต้เท้าซูเองว่าหลานของเจ้าทำกระไรไปบ้าง และพูดกระไรไปบ้าง"
หยุนชางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบชาก่อนจะพูดต่อว่า "เมื่อสักครู่นี้สาวใช้ของข้าแค่ออกไปซื้อของ หลานชายของเจ้าก็เข้ามารุกรานข้าถึงหลายต่อหลายครั้ง เดิมทีข้าเองก็มิอยากถือสาเขาหรอก แต่เขากลับพูดจาเหลวไหล กล่าวว่าจะให้ข้าคุกเข่าขอร้องเขาบนเตียง? ข้าเองก็มิได้สนใจ แต่เขากลับกล่าวอีกว่าจะลบล้างตระกูลเก้าชั่วโคตรของข้า"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง