ถูซินเยว่ลูบท้องแล้วมองไปที่โต๊ะ บนโต๊ะไม้เก่ามีชามวางอยู่สองใบ ในชามเต็มไปด้วยโจ๊กผักกาด และมีเศษไข่ตีแตกลอยอยู่ข้างบน ดวงตาของเธอเป็นประกาย เลียแผลบที่มุมปากอย่างไม่รู้ตัว
นางหยูยิ้ม "ซินเยว่ ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าก็นั่งลงกินด้วยกันเถอะ"
ดวงตาของถูซินเยว่เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง มองดูนางหยูด้วยความซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่านางหยูที่ดูขี้ระแวดระวังจะมีจิตใจดีงามเช่นนี้ที่ตระเตรียมอาหารไว้ให้เธอด้วย เธอรีบหยิบชามขึ้นมา เนื่องจากมีซูจื่อหังอยู่ข้าง ๆ เธอจึงเคลื่อนไหวด้วยความสงบเสงี่ยมกว่าเดิมมาก
นางหยูเห็นว่าเธอเป็นคนสติไม่ดี จึงไม่ได้คำนึงถึงถูซินเยว่ขณะที่พูดคุยกับซูจื่อหัง เธอเช็ดมือด้วยผ้ากันเปื้อนมันเยิ้ม ใบหน้าเศร้าหมอง "จื่อหัง อย่าหาว่าแม่พูดมากเลยนะ แต่แม่ว่าเรื่องแต่งงานระหว่างเจ้ากับหมิงซวนคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หมิงซวนพักอยู่บ้านตระกูลเหลียงแล้วทั้งคืน ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ซินเยว่ในสภาพนี้ ตระกูลเหลียงเองก็รังเกียจมานาน ได้ตัวหมิงซวนไปดูท่าว่าก็คงกำลังดีใจกันอยู่ มีแต่เจ้านี่แหละที่น่าสงสาร..."
ถูซินเยว่หูผึ่ง
ซูจื่อหังเงยหน้าขึ้นสีหน้าเรียบเฉย "ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ลูกไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงานในตอนนี้"
"ไม่ได้นะ!" นางหยูส่ายหน้าแล้วพูดว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว หากไม่รีบแต่งงานตอนนี้ ต่อไปอายุมากขึ้นจะทำยังไง?" ในขณะที่เธอพูดเช่นนั้นก็เหลือบมองถูซินเยว่ด้วยความลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ถูซินเยว่รีบเงยหน้าขึ้นแสยะยิ้มโง่ ๆ ให้อีกฝ่าย นางหยูชะงัก ถอนหายใจอย่างจนปัญญา "ถ้าซินเยว่ไม่ใช่คนสติไม่สมประกอบ การแต่งงานครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องดี..."
ทุกคนในบ้านตระกูลถูล้วนเหลี่ยมจัด แต่ลูกชายคนที่สี่ของตระกูลถูกลับเป็นคนซื่อสัตย์ ได้เกี่ยวดองกับครอบครัวแบบนี้ก็ไม่เสียหาย อีกอย่าง ซินเยว่ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีแบบนี้ดูก็รู้ว่าจะให้กำเนิดบุตรได้ง่าย แรงก็เยอะ น่าเสียดายที่สติไม่ดี
นางหยูถอนหายใจอีกครั้ง
ถูซินเยว่ถือชามข้าวอย่างกระอักกระอ่วนแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองหน้าซูจื่อหัง
สีหน้าของซูจื่อหังยังคงเรียบเฉย กินข้าวต้มด้วยท่าทีสงบ ทั้ง ๆ ที่ก็กินข้าวหม้อเดียวกันอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างถูซินเยว่กลับรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายสามารถกินมันได้อย่างสง่างาม
พวกคนมีความรู้นี่มันช่างแตกต่างจริง ๆ เธอถอนหายใจอยู่ในใจ
จู่ ๆ ซูจื่อหังก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ ทันใดนั้นถูซินเยว่ก็ทำเหมือนตัวเองเป็นหัวขโมยที่ถูกจับได้ รีบฝังหัวตัวเองลงในชามข้าวต้มอย่างเชื่อฟัง ดีที่หน้าของเธอมีชาดสีแดงแต้มเป็นดวงอยู่ จึงดูไม่ออกว่าเธอหน้าแดง
“ลูกไม่รีบร้อนเรื่องแต่งงาน แค่นำเงินสินสอดทองหมั้นกลับมาก็พอแล้ว" เงินทองของหมั้นนี้ เป็นเงินเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พ่อของซูจื่อหังทิ้งไว้ให้ นางหยูเองก็ประหยัดกินประหยัดใช้ และได้ออมเพิ่มไว้บ้าง รวมทั้งหมดเป็นเงินสามสิบตำลึง เงินจำนวนนี้ต้องเอากลับคืนมาให้ได้
หลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารเช้าแล้ว นางหยูและซูจื่อหังก็นั่งอยู่ที่ลานบ้านหลังจากเสร็จสิ้นการสนทนา รอข่าวของซูเฟิ่งอี๋และซูซุ่นลี่ที่ไปบ้านตระกูลถูแต่เช้า
นางหยูกลัวว่าถูซินเยว่จะเดินเพ่นพ่านไปทั่ว จึงตักเอาเมล็ดแตงโมมาหนึ่งกำมือให้เธอนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง ถูซินเยว่กอบเอาเมล็ดแตงโมไว้ในมือ พยักหน้าอย่างแข็งขันให้กับนางหยู เธอเพิ่งจะย้อนอดีตมา ที่ที่คุ้นเคยที่สุดที่แรกก็คือบ้านตระกูลซู เธอไม่มีทางเพ่นพ่านไปไหนแน่นอน
ห้องของซูจื่อหังทั้งมีขนาดเล็กและทรุดโทรม เดิมทีน่าจะเป็นห้องเก็บของ แต่ถูกรื้อออกและทำเป็นห้องนอน โชคดีที่แม้ว่าห้องจะทรุดโทรม แต่ซูจื่อหังเป็นคนรักษาความสะอาด ไม่เพียงแต่สิ่งของต่าง ๆ จะจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเท่านั้น แม้แต่เครื่องนอนก็ยังมีกลิ่นสบู่หอมโชยออกมา
ถูซินเยว่ฟุบอยู่ข้างเตียง กำลังจะผล็อยหลับในไม่ช้า...
สิ่งที่ปลุกให้เธอตื่นจากภวัง ก็คือเสียงแหลมที่กำลังก่นด่า
"นี่เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่ เจ้ากำลังบอกว่าข้าจงใจก่อปัญหาและปล่อยให้เมียของจื่อหังหนีไปอย่างงั้นรึ?"
"ท่านพี่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือว่า คือว่าบ้านตระกูลถูจะให้ซินเยว่เป็นภรรยาของจื่อหังได้อย่างไร แล้ว เงินสินสอดทองหมั้น..."
"สินสอดทองหมั้นอะไรกัน ในเมื่อได้นางสติไม่ดีไปเป็นเมียแล้ว ยังจะมาเอาสินสอดทองหมั้นคืนอีกอย่างงั้นรึ?" ประตูถูกเปิดออกดังโครม ซูเฟิ่งอี๋พุ่งปราดเข้ามาในห้องด้วยความโมโห ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงกระชากเอาถูซินเยว่ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาจนนิ้วมือเกือบจะจิ้มเข้าไปในรูจมูกของเธอแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง
รออยู่นะคะ...
รอ.....,....
รอ.........
แอดจ๋า...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ น่าสนุกมาก😭😭😭...
กำลังสนุกเลย ช่วยมาเพิ่มตอนให้ทีนะคะแอดมิน...
สนุกดี ไม่อัพต่อแล้วหรอค่ะ...