“คุณชายจาง วันนี้ตอนสายมีสินค้าใหม่ชุดหนึ่งมาพอดีครับ ท่านมาได้เวลาเลยครับ”
เวลานี้เอง เถ้าแก่ของลานพนันหินหน้าเต็มไปด้วยการเอาใจ เดินเข้ามาเป็นเพื่อนชายหนุ่มที่แต่งชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่ง
จางเวยเอามือทั้งสองล้วงในกระเป๋ากางเกง เชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส ท่าทางแบบสูงส่งกว่าผู้คน ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“เหล่าซุน ครั้งก่อนตอนที่ผมเข้ามาคุณก็บอกกับผมว่ามีสินค้าใหม่ ความเป็นไปได้จะเจอของดีเยอะมาก แต่ความเป็นจริงล่ะ? ยังไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยรึไง?”
จางเวยชายตามองเถ้าแก่ลานพนันหินที่อยู่ข้างกาย “ผมขอพูดเอาไว้ตรงหน้าก่อนเลย ถ้าครั้งนี้เหมือนกับครั้งที่แล้ว ต่อไปผมไม่มาอีกคุณอย่ามาโทษแล้วกัน”
เถ้าแก่ลานพนันหินที่ถูกเรียกว่าเหล่าซุนรีบยิ้มประจบทันที “คุณชายจาง พูดแบบนี้ไม่ได้สิครับ นี่คือการพนันหิน ในเมื่อเป็นการพนัน งั้นย่อมจะมีความเสี่ยงไม่ใช่เหรอ?”
“จะว่าไป ใครไม่รู้บ้างว่าคุณชายจางคุณเป็นคนมีเงินและอิทธิพลมาก ถึงแม้เสียไปสองสามล้าน สำหรับคุณนั้นไม่ใช่แค่เรื่องขี้ปะติ๋วเหรอ?”
“ผมไม่มาแค่ไม่กี่วันเอง ฝีมือการประจบสอพลอของคุณนี้ก้าวหน้าไม่น้อยเลยนะ!”
จางเวยหน้าดูภูมิใจเต็มที่ หัวเราะฮาๆ บอกว่า “แต่ว่า ผมยังชอบคุณพูดแบบนี้อยู่ดี ผมจางเวยไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่มีเงินมากเอง!”
ระหว่างที่พูด เขาถือโอกาสสังเกตดูโดยรอบสักหน่อย ทันใดนั้นภาพคนที่คุ้นเคยปรากฏตัวขึ้น ชั่วขณะนั้นขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา จงใจขึ้นเสียงดังระดับหนึ่ง พูดถากถาง “โถๆ สมัยนี้ คนที่ไม่เจียมตัวยังมากเสียจริง แม้แต่บอดี้การ์ดเฝ้าประตูกระจอกๆ คนหนึ่งยังกล้ามาพนันหิน ไม่กลัวจะแพ้จนแม้แต่กางเกงในก็เสียไปด้วยจริงๆ เหรอ?”
จางเวยพูดเรื่องพวกนี้โดยเพิ่มเสียงดังเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของเขายังจ้องไปตรงกลางลานอยู่ตลอด คนโดยรอบย่อมมองตามเส้นสายตาเขาเข้าไปเป็นธรรมดา
เย่เทียนกำลังค้นหาเป้าหมายในการลงมืออยู่เลยล่ะ ทันใดนั้นรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านไม่ปกติเท่าไร
อดหันหน้าไปมองไม่ได้ กระทั่งมองสีหน้าที่ยั่วยุนั้นของจางเวยแจ่มชัด มุมปากวาดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เขาก็ได้ยินคำพูดพวกนั้นของจางเวยเมื่อสักครู่เช่นกัน และตามเส้นสายตาที่ร้อนแรงนี้ นอกจากว่าตนเองยังสามารถว่าใครได้อีก
แต่ว่า เย่เทียนเป็นใคร? จะเห็นจางเวยตัวตลกเต้นแร้งเต้นการะดับนี้อย่างจางเวยอยู่ในสายตาได้อย่างไร ไม่คิดจะสนใจเขาเลย
แต่จางเวยไม่ได้เข้าใจถึงการเหยียดหยามของเย่เทียน ยังคิดว่าเขาหวาดกลัว ชั่วขณะนั้นจึงพูดเยาะเย้ย “ว่ายังไง? ถูกคนเปิดโปงเบื้องลึกแม้แต่พูดยังไม่กล้าพูดเลยงั้นเหรอ?”
สุภาษิตพูดไว้ถูกแล้ว เมื่อศัตรูมาเจอหน้ากันมักยั่วโมโหอีกฝ่าย
จางเวยพอมองเห็นเย่เทียน อดนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่โดนเย่เทียนเหยียดหยามขึ้นมาเองไม่ได้ ยังอดกลั้นไหวเสียที่ไหน
เย่เทียนขมวดคิ้วขึ้นในชั่วขณะนั้น เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่ถูกคนอื่นรังแกถึงยังสามารถทนอยู่เฉยได้!
ท่าทีก้าวร้าวของจางเวยนี้ ถ้าเขายังเงียบนิ่งต่อไป จะไม่ใช่เป็นการส่งเสริมอำนาจของจางเวยหรอกเหรอ?
พอคิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนพูดตอบโต้อย่างนิ่งเฉย “มีบางคนพอแผลตกสะเก็ดก็ลืมความเจ็บไปแล้วจริงๆ หรือว่ายังทุกข์ทรมานไม่พอเลยอยากลิ้มลองสิ่งเร้าใจใหม่กว่าเดิม?”
“......”
จางเวยตะลึง ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าแดงขึ้นมาก
แต่ว่า โดยเฉพาะเขาเคยเจอความเก่งกาจของเย่เทียนมา ถึงแม้จะอับอายจนโกรธสักแค่ไหนก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
แน่นอนว่า ช่วงเวลานี้เขาเคยไปตรวจสอบรายละเอียดของเย่เทียนมาสักพักหนึ่ง แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงค้นหาได้ว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดอยู่ที่บริษัทตระกูลเฉิน ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้เดิมทีค้นหาไม่ได้
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตอนที่บอกว่าเย่เทียนเป็นแฟนของเหลียงเยว่หรู เขาเพียงคิดว่าเหลียงเยว่หรูแค่แกล้งหาคนมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น
แต่เขาไม่ได้คิดดูว่า ถ้าเหลียงเยว่หรูแค่ให้เย่เทียนมาเป็นข้ออ้าง จะยอมให้เย่เทียนทำท่าทางที่สนิทสนมเกินไปได้อย่างไรล่ะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่