เย่เทียนเองไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีสักวันหนึ่งจะได้เรียนวิชากลั่นยาแบบดั้งเดิมของสำนักสมัยโบราณ
ถึงแม้ระดับการปรุงยาของเขาไปเกือบจะถึงเขตแดนของปรมาจารย์แล้ว แต่ในการเรียนวิชาเต๋าในระบบยังทำให้เขาได้รับประโยชน์จากมัน แม้กระทั่งตัวเขาเองใกล้จะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือแดนแห่งความฝันของหลิงหยุน
เรียนรู้วิชากลั่นยาของสำนักชิงหนังอย่างหมกมุ่นคลั่งไคล้ ด้านวิชากลั่นยาสำหรับเย่เทียนนั้นก็มีความเข้าใจอันใหม่ของตนเอง
ส่วนเวลานี้ ในแดนแห่งความฝันก็ผ่านมาสิบปีแล้ว
เย่เทียนในเวลานี้เป็นช่วงเวลาอันดีที่มีท่วงทีสง่างามและฉลาดเฉียบแหลม รูปร่างสูงชะลูดและหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกันกับหลิงหยุนเลย เพียงแค่ไม่มีลักษณะที่นิ่มนวลนิดๆ อันนั้นเท่านั้นเอง
วันนี้ เจ้าสำนักของสำนักชิงหนังเรียกเขามาตรงหน้าแล้ว
“หลิงหยุน เจ้าเป็นนักกลั่นยาที่มีพรสวรรค์ที่สุดที่ข้าเคยเจอมาในชาตินี้ และเป็นโชคดีของสำนักชิงหนังด้วย!”
เจ้าสำนักท่าทางมีแววความรักและเมตตา “วิชากลั่นยาของสำนักชิงหนังเจ้าก็เรียนมาเกือบจะหมดแล้ว สิ่งที่พวกเราสอนให้เจ้าได้ก็ไม่มากแล้ว ที่เหลือมีเพียงอย่างเดียว นี่คือวิชากลั่นยาของยาเทพ!”
“เพียงแต่ว่าวิชากลั่นยาของยาเทพอันนี้มีเพียงเจ้าสำนักถึงพอจะฝึกฝนได้ นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้”
เจ้าสำนักล้วงตำราหยกม้วนหนึ่งจากในอ้อมอกออกมาแบบสั่นเทา
“นี่เป็นความรู้ที่เจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ ของสำนักชิงหนังได้จากการกลั่นยาเทพกัน ถึงแม้ในปัจจุบันนี้นอกจากเจ้าสำนักรุ่นแรกกลั่นออกมาได้สำเร็จแล้วก็ไม่มีใครกลั่นสำเร็จอีกเลย แต่ด้านในล้วนเป็นสติปัญญาและกำลังของพวกเราเจ้าสำนักเหล่านี้ ต่อไปเจ้าจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี ส่งเสริมให้สำนักชิงหนังเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดนะ!”
หน้าตาเจ้าสำนักมีแววเฝ้าปรารถนา หัวใจของเย่เทียนก็กระตุกทันใด
คนเราไม่ใช่ท่อนไม้ ใครจะไม่มีความรู้สึกได้ล่ะ?
เย่เทียนก็เป็นคนเช่นกัน โดยเฉพาะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกต่อกันด้วย เขามักจะรู้สึกว่าเจ้าสำนักเหมือนมองอะไรออกแล้ว แต่เขายังคงสั่งสอนตนเองอย่างตั้งใจ ตอนนี้ยิ่งส่งต่อตำแหน่งของเจ้าสำนักลงมาให้แล้วด้วย
ความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์อันนี้ถึงแม้เป็นสิ่งลวงตาก็หยั่งรากลึกอยู่ในใจเย่เทียนแล้ว
“ข้าทำได้! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าทำได้ทั้งนั้น!”
เย่เทียนเหมือนไม่ได้สัญญาอะไรทั้งสิ้น แต่นี่กลับเป็นคำมั่นสัญญาใหญ่สุดของเย่เทียน
และน้ำหนักของคำสัญญานี้เหมือนจะมีเพียงตัวเขาเองถึงเข้าใจ
“ฮู้! แบบนี้ข้าก็วางใจแล้ว!”
เจ้าสำนักพูดจบหัวเราะอย่างรักและเมตตา จากนั้นส่ายไม้ปัดเบาๆ นั่งลงไปทั้งตัวอยู่ตรงนั้น ไม่ส่งเสียงอีก
คนเราพอบรรลุเต๋าแล้วก็กลายเป็นเซียน บางทีในสมัยโบราณมีคนบรรลุเต๋าแล้วกลายเป็นเซียนจริงๆ มั้ง เย่เทียนได้เพียงภาวนาประโยคนี้อย่างเงียบๆ
ถึงแม้เขาจะจมอยู่ในแดนแห่งความฝันนี้โดยสมบูรณ์ แต่เย่เทียนไม่เคยลืมเลยว่าที่นี่เป็นเพียงแดนแห่งความฝันฉากหนึ่ง บางทีทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตา แม้กระทั่งเจ้าสำนัก สำนักชิงหนังล้วนเป็นภาพลวงตา แต่เขากลับเรียนรู้ถึงวิชากลั่นยาอันแท้จริงสุด สัมผัสถึงความรู้สึกรักอย่างลึกซึ้งนั้นของเจ้าสำนัก
เขายินยอมเชื่อว่า ทุกอย่างนี้เป็นความจริงทั้งสิ้น
“เฮ้อ!”
เย่เทียนถอนหายใจยาวๆ จากนั้นเสียงที่ราวกับกระจกแตกดังขึ้น เย่เทียนรู้ชัดเจน ทุกอย่างนี้สิ้นสุดแล้ว
ส่วนในเวลานี้เอง รูปเหมือนที่แขวนไว้ที่โถงใหญ่มาตลอดลืมตาขึ้นมากะทันหัน แสงสีเขียวสายหนึ่งยิงบนตัวของเย่เทียน
อยู่ภายในตานเถียนของเย่เทียน คาดไม่ถึงนกกระเรียนทองแดงตัวหนึ่งค่อยๆ หมุนตามแกนเสมือนขึ้นมา
“นี่......”
“แกจะต้องคิดว่าทุกอย่างนี้เป็นเรื่องหลอกลวงถูกไหม?”
เย่เทียนหมุนตัวฉับพลัน หลิงหยุนกำลังมองเขาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“แกคือหลิงหยุน? ไม่ใช่ แกคือความคิดหมกมุ่นช่วงหนึ่งของหลิงหยุน?”
“ถูก และก็ไม่ถูกทั้งหมด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่