ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 157

ชื่อจริงของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าคนนี้คือลี่ชุ่ยฮวา ซึ่งฟังจากชื่อก็รู้ว่าเธอเป็นทายาทของครอบครัวยากจนจากชนบท

พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก จึงเป็นเหตุที่เธอถูกรังแกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โชคดีที่สาวกของสำนักพิษห้าได้รับเธอเข้าเป็นลูกศิษย์ จึงทำให้ชีวิตแย่ๆ ของเธอดีขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ในเวลาต่อมา คุณยายกระดาษไหว้เจ้าได้ทำผิดกฎอันร้ายแรงของสำนักพิษห้า เธอจึงถูกขับไล่ออกจากสำนัก และยังทิ้งฝ้าอันน่าอัปยศไว้บนใบหน้าของเธออีกด้วย!

แต่ในความเป็นจริง เมื่อดูจากอายุของคุณยายกระดาษไหว้เจ้าแล้ว เธอเป็นแค่สาววัยกลางคนที่มีอายุสี่สิบกว่าเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นคนแก่เลยด้วยซ้ำ

แต่ด้วยฝ้าพิษบนใบหน้าของเธอที่ทำให้เธอไม่กล้าไปเจอใคร รวมถึงมือที่เหี่ยวย่นเนื่องจากการกลั่นยาพิษเป็นประจำ และเสียงที่แหบแห้งเหมือนคนแก่

นานไป ผู้คนที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอจึงคิดว่าเธอเป็นหญิงชรา ก่อนหน้านี้เธอยังถูกเรียกว่าป้า แต่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยายที่ถูกเรียกกันจนถึงทุกวันนี้

รวมไปถึงอาชีพของเธอก็คือคนผลิตกระดาษไหว้เจ้า ดังนั้นจึงเป็นที่มาในชื่อคุณยายกระดาษไหว้เจ้าของเธอ

"หยูหลง ระวังด้วย ไอ้หมอนี่มันไม่ได้จัดการง่ายๆ นะ!"

ลี่ชุ่ยฮวาจ้องเขม็งไปที่เย่เทียนที่ยังคงแสดงสีหน้าเฉยเมย และนัยน์ตาของเธอยังเต็มไปด้วยความประหม่า

“ชุยฮวา คุณออกมาทำไม?”

ทังหยูหลงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของลี่ชุ่ยฮวา เขาไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะออกมาในเวลานี้

“หยูหลง คุณอย่าดูถูกไอ้หมอนี่เด็ดขาด เมื่อกี้ตอนอยู่ในถ้ำ เสี่ยวฉ่ายกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก ดูเหมือนมันจะเห็นศัตรูตัวฉกาจ ไม่ว่าฉันจะห้ามมันยังไง มันก็ไม่ยอมสงบสติอารมณ์สักที”

ลี่ชุ่ยฮวาเดินเข้าไปหาทังหยูหลงและจ้องมองเย่เทียนด้วยความระมัดระวัง “ฉันคิดว่าไอ้หมอนี่มันต้องไม่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นเสี่ยวฉ่ายคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

“คุณกับฉันร่วมมือกันแล้วจัดการกับคนกล่มนี้ก่อน!”

ด้วยสายตาของเธอ เธอไม่สามารถเห็นถึงความแข็งแกร่งของเย่เทียนได้ แต่แมงมุมร้อยพิษเจ็ดสีอยู่กับเธอมาหลายปีแล้ว และมันก็ไม่เคยคาดการณ์ผิดพลาด

ทังหยูหลงขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถึงนิ่งเฉยและไม่แยแสขนาดนี้ และสายตาที่มองเย่เทียนก็เปลี่ยนไป

แต่ไม่นานหลังจากนั้น คิ้วขมวดของเขาก็ค่อยๆ คลายลง และเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้เลย

“ชุยฮวา ผมคิดว่าคุณตื่นกลัวง่ายเกินไปหน่อยนะ ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนกระจอกๆ ผมคนเดียวก็เอาอยู่!”

จากนั้น ทังหยูหลงหันกลับมามองเย่เทียนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอีกครั้ง

“ไอ้หนุ่ม บางทีแกอาจจะใจกล้าก็จริงนะ แต่หัวหน้าแกยังรับหมัดของข้าไม่ได้เลยแม้แต่หมัดเดียว จะให้ข้าฆ่าแกงั้นเหรอ ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก!”

ในขณะที่พูด พลังอันแข็งแกร่งทั่วร่างกายของทังหยูหลงก็แผ่เข้าหาเย่เทียน

เมื่อสัมผัสถึงพลังของทังหยูหลง สีหน้าอันน่าเกลียดของเหลยซวี่ก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้น ราวกับเขาอมอุจจาระอยู่ในปากอย่างไรอย่างนั้น

ในเส้นทางชีวิตของนักบู๊นั้น พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ความขยันหมั่นเพียรก็ขาดไม่ได้เช่นกัน

และถ้าพูดถึงความขยันหมั่นเพียร มันจำเป็นต้องใช้เวลาในการสะสมประสบการณ์อยู่แล้ว แต่เย่เทียนเด็กกว่าตั้งเยอะเลย แล้วเขาจะสู้ทังหยูหลงได้อย่างไร?

โจ๋หย่วนหันที่ยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ เมื่อเห็นเย่เทียนมีการเคลื่อนไหว เขาก็ดีขึ้นมาทันที “ทังหยูหลง นายอย่างได้ใจไป ด้วยฝีมือของคุณชายเย่ ถ้าจะล้มนายมันก็แค่เรื่องภายในหนึ่งนาทีเท่านั้น!”

ทังหยูหลงไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่แสดงสีหน้าไม่พอและพูดอย่างเสียดสีว่า “คุยโวใครไม่เป็นล่ะ?”

หลังจากหยุดชะงักไปสักพัก สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เย่เทียนอีกครั้ง “ไอ้หนู เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ถ้าแกมาคุกเข่าต่อหน้าข้าตอนนี้ บางทีข้าอาจจะพิจารณาเก็บศพของแกไว้ให้!”

เย่เทียนส่ายหัวอย่างจนใจและพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่เสียดายนะ ต่อให้คุณมาคุกเข่าต่อหน้าผมตอนนี้ ผมก็จะไม่เก็บศพของคุณไว้หรอก”

“ปากเก่งไม่เบาจริงๆ! หวังว่าอีกเดี๋ยวแกจะไม่คุกเข่าขอร้องข้านะ เพราะว่าต่อให้แกจะร้องขอข้าแค่ไหน ข้าก็จะให้แกได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดอยู่ดี!”

แม้แต่ทังหยูหลงที่ใจแข็งมาตลอดยังต้องสติแตกเพราะท่าทีที่เย่อหยิ่งของเย่เทียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่