“คุณ คุณว่าผมไร้ยางอายงั้นเหรอ?!”
จางเจี้ยนถังเกือบมีอาการหัวใจวาย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยถูกล้อเลียนมาก่อน แต่มันขึ้นอยู่ว่าใครคือคนล้อเลียนเขามากกว่า!
ถ้าเย่เทียนไม่ใช่สามีของเฉินหวั่นชิง แล้วเขาคือใคร? นับประสาอะไรถึงกล้ามาดูถูกคนอื่นแบบนี้?
เมื่อเห็นว่าบทสนทนาเริ่มไปไกล เฉินหยังจึงรีบขยิบตาให้กับเกาหยุนเสียงเพื่อสะกิดเขาให้พูดเข้าประเด็นหลัก
“ท่านจาง คุณใจเย็นหน่อย”
เกาหยุนเสียงเข้าใจสิ่งที่เฉินหยังกำลังจะสื่อ และพูดว่า “ตอนนี้จะเก้าโมงเช้าแล้วนะ อีกครึ่งชั่วโมงตลาดหุ้นก็จะเปิด เรามาจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนดีกว่า!”
“ประธานจาง ประธานเกาพูดถูกนะครับ ตอนนี้เรื่องของบริษัทสำคัญกว่า ผมว่าเราควรประกาศการลงมติคณะกรรมการของเราก่อน แล้วจัดการแถลงข่าวก่อนที่ตลาดหุ้นจะเปิด”
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเฉินหยังก็คือการได้รับตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
“เดี๋ยวนะ ใครช่วยบอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ก่อนที่จางเจี้ยนถังจะตอบสนอง เย่เทียนก็ยกมือถามก่อน
“ก็เพราะคุณไง! คุณเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้มันต้องกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินอย่างแน่นอน”
น้าเหมยที่เข้าข้างเฉินหวั่นชิงมาตลอดก็จ้องเขม็งไปที่เย่เทียน “ตอนนี้คณะกรรมการของเราประชุมก็เพื่อจะลงมติว่า หวั่นชิงยังเหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารต่อหรือไม่”
จริงที่น้าเหมยเป็นคนสนับสนุนเฉินหวั่นชิงอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะชอบเย่เทียนด้วย
ก็เหมือนแม่หลายๆ คนที่ดีต่อลูกสาว แต่ไม่ได้หมายถึงจะดีต่อลูกเขยเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ในวันนี้เย่เทียนเป็นต้นเหตุ สิ่งนี้ก็ทำให้เธอยิ่งเกลียดชังเย่เทียนอย่างไม่ต้องสงสัย
“อะไรนะ?”
เย่เทียนสีหน้าแปลกประหลาดและถามเฉินหวั่นชิงอย่างจงใจว่า “พวกเขาจะไล่คุณออกจากตำแหน่งเหรอ?”
จางเจี้ยนถังผู้ซึ่งไม่พอใจต่อเย่เทียนก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เย่เทียน ผมแนะนำให้คุณออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด! ถ้ายังรบกวนการประชุมของเรา ผมจะเรียก รปภ. แล้วนะ!”
“ผมว่าคุณแก่จนเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้วใช่ไหม? ผมพูดชัดขนาดนี้แต่คุณไม่ได้ยินเลยเหรอ?”
เย่เทียนชำเลืองมองเขาเหมือนคนงี่เง่าคนหนึ่งและพูดอย่างน่าเกรงขาม “พวกคุณรวมหัวกันรังแกภรรยาผมแบบนี้ จะให้ผมยืนอยู่เฉยๆ ได้เหรอ?”
เมื่อได้ยินคำนี้ จี้หงยี่ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็มองเย่เทียนเปลี่ยนไป
ในความเป็นจริง ในฐานะคณะกรรมการของบริษัทแซ่เฉิน และยังเป็นผู้สนับสนุนเฉินหวั่นชิงมาตลอด ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับเย่เทียน
ถึงอย่างไรแล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และมีประสบการณ์ในการพบปะผู้คนมาก แต่การที่ได้พบกับในครั้งนี้ เย่เทียนทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนละคน
ทั้ง ๆ ที่เป็นใบหน้าอันคุ้นเคย แต่สีหน้าแววตาที่เขาได้เห็นนั้น มันช่างต่างกับเย่เทียนผู้อ่อนแอที่เขาเคยรู้จักมาก่อน
“เย่เทียน ไม่ว่าคุณจะเป็นสามีของหวั่นชิง หรือจะเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทแซ่เฉิน แต่ตอนนี้เรากำลังประชุมคณะกรรมการอยู่นะ!”
เถาเจิ้งหยันที่เงียบมาเป็นเวลานานก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ถ้าพูดถึงเรื่องงาน คุณยังไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องส่วนตัว คุณเคยเห็นใครพาญาติพี่น้องมาที่ประชุมเหรอ?”
“มันก็ถูกของคุณนะ แต่ถ้าผมพูดไม่ผิด ผมก็ควรจะเป็นคนสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?”
เย่เทียนจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร เขาได้แต่คว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่รูปของเขา
“ก็เพราะคุณเป็นคนสำคัญในเรื่องนี้ คุณถึงยิ่งไม่มีคุณสมบัติอยู่ต่อไง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่