ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 221

จวี่เค่อโหลวเป็นหนึ่งในภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองเจียงหนัน ไม่เพียงรสชาติที่ไม่เหมือนใคร แม้แต่การตกแต่งก็ยังไม่ซ้ำกับใคร

ภัตตาคารทั้งหลังถูกตกแต่งด้วยสไตล์โบราณ แม้แต่พนักงานในร้านยังแต่งตัวย้อนยุค เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายในแบบของภัตตาคารสมัยโบราณ ตรงข้ามกับตึกสูงที่อยู่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง

แน่นอนว่า การที่หนิงหยวนจงใจจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นี่ เหตุผลหลักๆ ก็เพราะทำเลที่ตั้งของจวี่เค่อโหลวนี่แหละ

จวี่เค่อโหลวตั้งอยู่ที่พรมแดนของสามแก๊งใหญ่แห่งเจียงหนัน สามแก๊งใหญ่ไม่มีใครกล้าทำอะไรตามใจชอบ เพราะมันมีแต่จะทำให้อีกสองแก๊งร่วมมือกันมาเล่นงานตัวเอง

แน่นอนว่า นี่มันเป็นแค่ความต้องการเพียงฝ่ายเดียวของหนิงหยวนเท่านั้น เกรงว่าต่อให้อยู่ในความฝันเขาก็คงไม่รู้ ว่าภายใต้การกดดันจากพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเย่เทียน แก๊งไผ่เขียวกับแก๊งมังกรดำก็มีแนวโน้มที่จะแอบร่วมมือกัน

เพียงแต่ จวี่เคอโหลงที่ปกติลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย วันนี้กลับดูเงียบเหงาอย่างน่าแปลก

ไม่ใช่ใดอื่น เป็นเพราะจวี่เค่อโหลวในวันนี้ได้ถูกคนเหมาไปทั้งร้านแล้ว! เห็นได้ชัดว่าเซิ่งเหอเซิ่งให้ความสำคัญกับสามแก๊งใหญ่มากขนาดไหน

ภายในห้องวีไอพีที่หรูที่สุดและอยู่ชั้นบนสุดของจวี่เค่อโหลว หนึ่งในสี่ขุนศึกรุ่นใหม่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเซิ่งเหอเซิ่งอย่างหนิงหยวนนั่งอยู่กับหลงเจี้ยนหัวผู้นำของแก๊งมังกร

นอกเหนือจากนั้น ในห้องยังมีชายผิวขาวอายุราวๆ สามสิบท่าทางสุภาพเรียบร้อยอยู่ด้วยคนหนึ่ง

“คุณหนิงนี่หน้าคุ้นๆ นะครับ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะเป็นขุนศึกคุณรับตำแหน่งอะไรอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

หลงเจี้ยนหัวที่นั่งลงไปไม่นานก็จ้องมองหนิงหยวนอย่างละเอียด ก่อนจะถามด้วยสีหน้าที่ดูประหลาด

“จะไปรับตำแหน่งอะไร ก่อนที่จะเข้ามาในเซิ่งเหอเซิ่ง ผมก็เป็นแค่นักสู้ใต้ดินที่ไม่มีชื่อเท่านั้นครับ”

กับเรื่องในอดีต หนิงหยวนก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบัง เขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เมื่อก่อนลูกพี่หลงอาจจะเคยไปดูการแข่งของผม เลยรู้สึกคุ้นหน้าของผมก็ได้ครับ”

“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้!”

หลงเจี้ยนหัวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “การชกมวยใต้ดินเป็นเรื่องที่อันตราย ถึงว่าทำไมคุณหนิงถึงสามารถขึ้นมานั่งในตำแหน่งหนึ่งในสี่ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ได้ ช่างเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถจริงๆ!”

“ผมจะไปเทียบกับลูกพี่หลงได้ยังไง”

หนิงหยวนโบกมืออย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วพูดเสแสร้งไปว่า “ลูกพี่หลงนั้นได้ปกครองหนึ่งในสามเมืองเจียงหนัน ความสามารถระดับนี้ผมเทียบไม่ติดหรอกครับ”

หลงเจี้ยนหัวก็เสแสร้งกล่าวชมหนิงหยวนไปนิดหน่อย ก่อนจะหันมองไปยังชายวัยกลางที่ทำหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด

“ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ?”

“ลูกพี่หลง ผมช่วยแนะนำให้ก็แล้วกัน”

หนิงหยวนลุกขึ้นมาอย่างเจียมตัว แล้วพูดแนะนำไปว่า “ท่านนี้คือหนึ่งในกุนซือของเซิ่งเหอเซิ่ง คุณจูยิ่วฟานครับ”

“แน่นอนว่า ถ้าการเจรจาในคืนนี้ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะกลายเป็นตัวแทนในการติดต่อระหว่างเซิ่งเหอเซิ่งของเรากับพวกของลูกพี่หลงครับ”

“จูยิ่วฟาน?”

หลงเจี้ยนหัวครุ่นคิดอยู่ในหัว เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ และได้ถามไปว่า “ไม่ทราบว่าลูกพี่จูยิ่วถิงกับคุณจูมีความเกี่ยวข้องอะไรกันมั้ยครับ?”

“เขาเป็นพี่ชายของผม” จูยิ่วฟานตอบด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของหลงเจี้ยนหัวเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็รีบยื่นมือออกไปเพื่อขอจับมือ และพูดอย่างเสแสร้งว่า “ที่แท้ก็เป็นน้องชายของลูกพี่จูนี่เอง ต้องขออภัยที่เสียมารยาทครับ!”

“ลูกพี่หลงเกรงใจเกินไปแล้วครับ!”

จูยิ่วฟานยื่นมือมาจับมือกับหลงเจี้ยนหัว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงผมกับพี่จะเป็นพี่น้องแท้ๆกัน แต่ยังไงก็ไม่ใช่ฝาแฝด หน้าตาจึงแตกต่างกันไปบ้าง ยังไงลูกพี่หลงเองก็ไม่ใช่คนของเซิ่งเหอเซิ่ง ถ้าจะไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

พอหลงเจี้ยนหัวได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของเขาก็ดูประหลาดขึ้นมาทันที

บนบัตรเชิญนั้นเขียนไว้แค่ว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือ แต่ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นเรื่องอะไร

แต่คำพูดที่จูยิ่วฟานพูดมาเมื่อกี้กลับแฝงด้วยความไม่เป็นมิตร อะไรคือยังไงก็ไม่ใช่คนของเซิ่งเหอเซิ่ง?”

นี่คืออยากดึงเขาเข้าไปในเซิ่งเหอเซิ่งอย่างนั้นเหรอ?

หรือเซิ่งเหอเซิ่งตั้งใจที่จะยื่นมือเข้ามาในเมืองเจียงหนัน? อยากให้สามแก๊งใหญ่ยอมจำนนอย่างนั้นเหรอ?

ยังไงซะ หลงเจี้ยนหัวที่ไม่รู้ว่าพวกเซิ่งเหอเซิ่งมาเพื่อจุดประสงค์อะไรก็แอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ถึงแม้จะมีความคิดมากมายอยู่ในใจ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นลูกพี่คนหนึ่ง จึงยังพอมีไหวพริบในการรับมือกับคนอื่นอยู่บ้าง จึงไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป

ในเวลาเดียวกัน ห้องโถงตรงชั้นหนึ่งของจวี่เค่อโหลว

“นี่ พวกคุณไม่ต้องเข้ามาแล้ว คืนนี่ลูกพี่ของเราได้เหมาที่นี่ไปแล้ว ไม่รับลูกค้าคนอื่นอีก เชิญพวกคุณไปหารร้านอื่นเถอะครับ!”

ลูกน้องสองคนที่รับหน้าที่เฝ้าประตูได้ขวางคนกลุ่มหนึ่งไว้ด้วยกิริยาที่สุภาพ

“จี๊ดจี๊ด ถึงขั้นเหมาจวี่เค่อโหลวเลยเหรอ หนิงหยวนนี่เงินหนาไม่เบาเลยนะเนี่ย!”

แต่ทว่า สิ่งที่ลูกน้องทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางกลับไม่มีทีท่าว่าจะจากไป แถมยังพูดจาขบขันว่า “นี่เพิ่งได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ขุนศึกผู้หยิ่งใหญ่ก็กล้าเหมาจวี่เค่อโหลวซะแล้ว ดูท่าเซิ่งเหอเซิ่งนี่รวยไม่เบาเลยนะ!”

“บัดซบ! ในเมื่อรู้ว่าเราเป็นคนของเซิ่งเหอเซิ่ง แล้วยังกล้าเรียกชื่อของลูกพี่เราตรงๆ อีก ฉันว่าแกคงอยู่มาคนเบื่อแล้วสินะ!”

ลูกน้องทั้งสองโมโหขึ้นมาทันที จึงรีบตามเพื่อนๆ ที่สูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ให้เข้ามาช่วย “นี่พวกนายยังจะยื่นบื้ออยู่ทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!”

ภายใต้การเรียกขานของทั้งคู่ พวกลูกน้องที่สูบบุหรี่อยู่ที่หน้าประตูก็ดับบุหรี่แล้วรีบกรูกันเข้ามาทันที แล้วพากันจ้องมองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าที่ชั่วร้าย

แต่ที่น่าเสียดายคือ ชายหนุ่มที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ก็ได้โบกมือออกมาอย่างสบายๆ กลุ่มคนที่ล้อมรอบเขาก็พุ่งออกไปราวกับสัตว์ป่า

ภายใต้การตะลุมบอนที่เกิดขึ้น พวกลูกน้องของเซิ่งเหอเซิ่งก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะต่อต้าน ลงไปนอนโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบแล้ว

พอเห็นอย่างนั้น สีหน้าของลูกน้องสองคนที่เฝ้าประตูก็เปลี่ยนไปทันที ต่อให้สายตาของพวกเขาจะไม่มีแววสักแค่ไหนแต่ก็ยังมองออกว่าผู้มาเยือนนั้นไม่เป็นมิตรอยู่ดี!

“แม่งเอ๊ย นี่พวกแกเป็นใครกันแน่? ไม่รู้รึไงว่าคืนนี้เซิ่งเหอเซิ่งของเราจะเลี้ยงหัวหน้าของทั้งสามแก๊งใหญ่แห่งเมืองเจียงหนันในจวี่เค่อโหลว”

“การที่พวกแกกล้ามาหาเรื่องแบบนี้ คงจะอยู่นานจนเบื่อแล้วสินะ?!”

ลูกน้องที่เฝ้าประตูเริ่มขึ้นเสียงแล้ว และได้ทำให้ลูกน้องคนอื่นที่เล่นไพ่อยู่ในร้านตกใจจนรีบกรูกันออกมา

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนของเซิ่งเหอเซิ่งเท่านั้น แม้แต่ลูกน้องของแก๊งมังกรที่มากับหลงเจี้ยนหัวก็วิ่งตามออกมาเหมือนกัน

บางทีลูกน้องของเซิ่งเหอเซิ่งอาจจะไม่รู้จักหลิวชิง แต่ลูกน้องของแก๊งมังกรจะไม่รู้จักกับหัวหน้าของคู่อริได้ยังไง?

“หลิวชิง! นี่แกคิดจะทำอะไรห๊ะ!”

แต่น่าเสียดาย หลิวชิงนั้นไม่ได้ตอบกลับลูกน้องของแก๊งมังกรเลย เนื่องจากฐานะที่แตกต่างกันจนเกินไป เขาจึงไม่มีอารมณ์ที่จะไปสนใจหรอก!

หลิวชิงได้ละสายตาออกจากพวกลูกกระจ๊อกที่อยู่หน้าจวี่เค่อโหลว แล้วหันมองมายังเย่เทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“คุณชายเย่ คุณว่าตอนนี้เราควรทำยังไงต่อ? จะให้จัดการเลยมั้ยครับ?”

“ไม่อย่างนั้นล่ะ?”

เย่เทียนยักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่ชอบใจว่า “หรือคุณจะรอให้พวกเขากินจนอิ่มท้อง ฟื้นฟูพละกำลังแล้วค่อยลงมือรึไง?”

หยุดไปครุ่นหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็ยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น “ผมบอกไปแล้ว ว่าคืนนี้จะเป็นเวลาที่แก๊งมังกรต้องพินาศ!”

หลิวชิงอึ้งไปแวบหนึ่ง จากนั้นดวงตาที่ใหญ่เท่ากระดิ่งก็ปลดปล่อยรังสีที่ดุดันออกมา และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “บุกเข้าไป! ทำลายแก๊งมังกรให้สิ้นซาก!”

เจียงหนันในคืนนี้ ไม่มีทางที่จะสงบสุขแล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่