จวี่เค่อโหลวเป็นหนึ่งในภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองเจียงหนัน ไม่เพียงรสชาติที่ไม่เหมือนใคร แม้แต่การตกแต่งก็ยังไม่ซ้ำกับใคร
ภัตตาคารทั้งหลังถูกตกแต่งด้วยสไตล์โบราณ แม้แต่พนักงานในร้านยังแต่งตัวย้อนยุค เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายในแบบของภัตตาคารสมัยโบราณ ตรงข้ามกับตึกสูงที่อยู่โดยรอบอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่า การที่หนิงหยวนจงใจจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นี่ เหตุผลหลักๆ ก็เพราะทำเลที่ตั้งของจวี่เค่อโหลวนี่แหละ
จวี่เค่อโหลวตั้งอยู่ที่พรมแดนของสามแก๊งใหญ่แห่งเจียงหนัน สามแก๊งใหญ่ไม่มีใครกล้าทำอะไรตามใจชอบ เพราะมันมีแต่จะทำให้อีกสองแก๊งร่วมมือกันมาเล่นงานตัวเอง
แน่นอนว่า นี่มันเป็นแค่ความต้องการเพียงฝ่ายเดียวของหนิงหยวนเท่านั้น เกรงว่าต่อให้อยู่ในความฝันเขาก็คงไม่รู้ ว่าภายใต้การกดดันจากพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเย่เทียน แก๊งไผ่เขียวกับแก๊งมังกรดำก็มีแนวโน้มที่จะแอบร่วมมือกัน
เพียงแต่ จวี่เคอโหลงที่ปกติลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย วันนี้กลับดูเงียบเหงาอย่างน่าแปลก
ไม่ใช่ใดอื่น เป็นเพราะจวี่เค่อโหลวในวันนี้ได้ถูกคนเหมาไปทั้งร้านแล้ว! เห็นได้ชัดว่าเซิ่งเหอเซิ่งให้ความสำคัญกับสามแก๊งใหญ่มากขนาดไหน
ภายในห้องวีไอพีที่หรูที่สุดและอยู่ชั้นบนสุดของจวี่เค่อโหลว หนึ่งในสี่ขุนศึกรุ่นใหม่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเซิ่งเหอเซิ่งอย่างหนิงหยวนนั่งอยู่กับหลงเจี้ยนหัวผู้นำของแก๊งมังกร
นอกเหนือจากนั้น ในห้องยังมีชายผิวขาวอายุราวๆ สามสิบท่าทางสุภาพเรียบร้อยอยู่ด้วยคนหนึ่ง
“คุณหนิงนี่หน้าคุ้นๆ นะครับ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะเป็นขุนศึกคุณรับตำแหน่งอะไรอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
หลงเจี้ยนหัวที่นั่งลงไปไม่นานก็จ้องมองหนิงหยวนอย่างละเอียด ก่อนจะถามด้วยสีหน้าที่ดูประหลาด
“จะไปรับตำแหน่งอะไร ก่อนที่จะเข้ามาในเซิ่งเหอเซิ่ง ผมก็เป็นแค่นักสู้ใต้ดินที่ไม่มีชื่อเท่านั้นครับ”
กับเรื่องในอดีต หนิงหยวนก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบัง เขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เมื่อก่อนลูกพี่หลงอาจจะเคยไปดูการแข่งของผม เลยรู้สึกคุ้นหน้าของผมก็ได้ครับ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้!”
หลงเจี้ยนหัวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “การชกมวยใต้ดินเป็นเรื่องที่อันตราย ถึงว่าทำไมคุณหนิงถึงสามารถขึ้นมานั่งในตำแหน่งหนึ่งในสี่ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ได้ ช่างเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถจริงๆ!”
“ผมจะไปเทียบกับลูกพี่หลงได้ยังไง”
หนิงหยวนโบกมืออย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วพูดเสแสร้งไปว่า “ลูกพี่หลงนั้นได้ปกครองหนึ่งในสามเมืองเจียงหนัน ความสามารถระดับนี้ผมเทียบไม่ติดหรอกครับ”
หลงเจี้ยนหัวก็เสแสร้งกล่าวชมหนิงหยวนไปนิดหน่อย ก่อนจะหันมองไปยังชายวัยกลางที่ทำหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอด
“ไม่ทราบว่าท่านนี้คือ?”
“ลูกพี่หลง ผมช่วยแนะนำให้ก็แล้วกัน”
หนิงหยวนลุกขึ้นมาอย่างเจียมตัว แล้วพูดแนะนำไปว่า “ท่านนี้คือหนึ่งในกุนซือของเซิ่งเหอเซิ่ง คุณจูยิ่วฟานครับ”
“แน่นอนว่า ถ้าการเจรจาในคืนนี้ไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะกลายเป็นตัวแทนในการติดต่อระหว่างเซิ่งเหอเซิ่งของเรากับพวกของลูกพี่หลงครับ”
“จูยิ่วฟาน?”
หลงเจี้ยนหัวครุ่นคิดอยู่ในหัว เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ และได้ถามไปว่า “ไม่ทราบว่าลูกพี่จูยิ่วถิงกับคุณจูมีความเกี่ยวข้องอะไรกันมั้ยครับ?”
“เขาเป็นพี่ชายของผม” จูยิ่วฟานตอบด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของหลงเจี้ยนหัวเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็รีบยื่นมือออกไปเพื่อขอจับมือ และพูดอย่างเสแสร้งว่า “ที่แท้ก็เป็นน้องชายของลูกพี่จูนี่เอง ต้องขออภัยที่เสียมารยาทครับ!”
“ลูกพี่หลงเกรงใจเกินไปแล้วครับ!”
จูยิ่วฟานยื่นมือมาจับมือกับหลงเจี้ยนหัว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงผมกับพี่จะเป็นพี่น้องแท้ๆกัน แต่ยังไงก็ไม่ใช่ฝาแฝด หน้าตาจึงแตกต่างกันไปบ้าง ยังไงลูกพี่หลงเองก็ไม่ใช่คนของเซิ่งเหอเซิ่ง ถ้าจะไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
พอหลงเจี้ยนหัวได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของเขาก็ดูประหลาดขึ้นมาทันที
บนบัตรเชิญนั้นเขียนไว้แค่ว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือ แต่ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นเรื่องอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่