ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 303

“เสี่ยวเหมย ลูกบอกแม่มาตามตรงเลย สรุปลูกกับเย่เทียนมันเรื่องอะไรกัน?”

ถูกซูเหมยบีบบังคับลากมาถึงหน้าประตูห้องอาหาร จ้าวเสว่เฟินถึงได้สติกลับมา ทำหน้าไม่พอใจพลันสอบถามขึ้นมา

“หนู......”

ซูเหมยตะลึง อ้าปากแล้วกลับไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรถึงจะดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คงไม่อาจสารภาพออกไปได้ว่า เย่เทียนคือเธอแฟนตัวปลอมที่เธอจงใจหามารับหน้าพวกแม่กระมัง?

“แม่ถามลูกเลยนะ ลูกกับเย่เทียนได้ทำเรื่องนั้นกันรึเปล่า?”

ไม่รอให้ซูเหมยได้สติเข้ามา ข้างหูมีคำถามที่ยิ่งลึกซึ้งกว่านั้นของจ้าวเสว่เฟินดังขึ้นอีกครั้ง

ซูเหมยจะไม่รู้ได้ที่ไหนว่าสิ่งที่จ้าวเสว่เฟินพูดถึงคือเรื่องอะไร ในหัวสมองอดนึกไปถึงเรื่องบนเครื่องบินไม่ได้ ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าเผยสีแดงที่เขินอายออกมา

“แม่คะ แม่พูดอะไรกัน!”

น่าเสียดายแค่ว่า ปฏิกิริยาเขินอายของซูเหมย ทำให้จ้าวเสว่เฟินคิดโดยจิตใต้สำนึกว่าทั้งสองคนเกรงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันจริง

พิจารณาถึงตรงนี้ จ้าวเสว่เฟินส่ายหน้าแบบจำใจ ถามอย่างลองเชิงว่า “งั้นพวกลูกมีการป้องกันรึเปล่า? เขาขอลูกแต่งงานแล้วเหรอ? ถ้าเกิดท้องโตแล้วเพิ่งถ่ายรูปแต่งงานจะน่าเกลียดเอามากๆ นะ”

“แม่คะ แม่พูดเหลวไหลอะไรกันเนี่ย! ถ้าแม่ยังถามเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก หนูจะไม่สนใจแม่แล้วนะคะ!”

ชั่วขณะนั้นซูเหมยแก้มแดงเป็นก้นลิง เพียงรู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างยิ่ง

“ได้ๆๆ แม่ไม่ถามแล้วพอใจรึยัง?”

จ้าวเสว่เฟินมองตาค้อนใส่ พูดแบบอารมณ์เสีย “นี่ไม่ใช่แม่เห็นว่าเมื่อกี้คำพูดพวกนั้นของเสี่ยวเย่ไม่ตรงกันกับที่ลูกพูด กลัวว่าลูกจะเสียเปรียบหรอกรึไง”

“แม่คะ เรื่องของพวกเราพวกหนูจะปรึกษากันเองค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นกังวลเลยค่ะ!”

ซูเหมยเกิดความคิดฉับพลัน พูดแบบขอไปทีสักหน่อยแล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “แม่คะ นี่ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว ถ้าไม่เตรียมไว้อีกปลาราดซอสของแม่น่าจะขึ้นโต๊ะไม่ทันเอานะคะ ทำกับข้าวก่อนเถอะค่ะ”

ระหว่างที่พูด ซูเหมยรีบฝืนผลักจ้าวเสว่เฟินเข้าไปในห้องครัวแล้ว พลิกมือปิดประตูห้องจนสนิท ลืมจนหมดสิ้นว่าก่อนหน้านี้จะแอบขโมยสูตรสักหน่อย

เดิมทีตอนอยู่บนเครื่องบินเธอก็อยากพูดตกลงไปในทางเดียวกันกับเย่เทียนสักหน่อย กลับนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว ภายใต้จิตใจสับสนวุ่นวายเธอยังสนใจสมคบคิดให้การเท็จที่ไหนอีก

ยิ่งพูดมากยิ่งผิดมาก ซูเหมยกลัวจ้าวเสว่เฟินจริงๆ แล้ว ยังกล้าอยู่กับหล่อนต่อไปที่ไหนกัน

โดยเฉพาะ ต่อให้ปิดบังไปได้ชั่วคราว แต่ใครจะรู้ว่าเย่เทียนกับซูเจิ้งหือจะพูดคุยอย่างไรบ้าง?

รอตอนกลางคืนพ่อแม่ทั้งสองคนเข้าห้องนอน เปรียบเทียบข้อมูลที่ทั้งสองคนได้รับ สิ่งที่น่าจะเกิดข้อผิดพลาดสุดท้ายจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้

พิจารณาถึงตรงนี้ ซูเหมยรีบร้อนเดินไปในห้องรับแขก แอบถอนหายใจหวังว่าเย่เทียนกับซูเจิ้งหือคงไม่พูดคุยกันมากมาย ไม่อย่างนั้นคำโกหกนี้คงกลบเกลื่อนไม่รอดแน่แล้ว

ถ้าถึงตอนนั้นจริง ต่อให้ไม่ได้แต่งงานกับหลี่เฟิง เกรงว่ายังยากที่จะหนีชะตากรรมโดนเร่งให้แต่งงานนี้ได้ เธอไม่อยากประสบพอเจอกับวันเวลาแบบนั้นอีก

ด้านในห้องรับแขกของตระกูลซู

ซูเจิ้งหือยอมให้เย่เทียนเล่นเกมแบบสุขุมจนทำเอาเสียอารมณ์ถึงที่สุด

ตอนที่เขาเข้าโจมตีก่อน และกองกำลังแถวหน้าบุกทะลวงเขตแดนของเย่เทียนไป เขาเพิ่งสำนึกถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งได้

เย่เทียนเจ้าหนุ่มคนนี้เดินมั่นคงป้องกันตัวเอง และไม่ยอมออกโจมตีที่ไหนกัน?

เจ้าหนุ่มนี้ล้วนกำลังวางรูปแบบขบวนแบบไม่เผยร่องรอยต่างหาก ถึงแม้ว่าหมากส่วนใหญ่ของซูเจิ้งหือ จะบุกเข้าไปในเขตแดนของเย่เทียนแล้ว แต่ชั่วครู่เดียวกลับไม่มีทางตีการป้องกันที่แน่นหนานั้นของเย่เทียนแตกได้เลย

พอกลับมามองเย่เทียน หลังจากที่ใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยาบีบบังคับตนเองให้เข้าโจมตี และตรึงหมากของตนเองไว้ได้สำเร็จ กลับถือโอกาสเริ่มเข้าโจมตีอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะ เข้าโจมตีแต่ละครั้งจะต้องเดินหมากต่อเนื่องกัน ต่อให้ตนเองอยากปรับแก้ทิศทางกู้สถานการณ์คืน กลับยังคงโดนฆ่าแบบต่อต้านได้ยาก

นี่ทำให้จังหวะของซูเจิ้งหือแวบเดียวเปลี่ยนไปสับสนขึ้นมาแล้ว ได้เพียงโจมตีเย่เทียนอย่างไม่หยุด ทำให้เขายุ่งเหยิง

น่าเสียใจคือ เย่เทียนรู้ชัดเจนถึงวิธีการของซูเจิ้งหือภายในสามนาทีแรกช่วงเริ่มต้นแล้ว นั่นคือไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีอะไรมา ก็ใช้วิธีนั้นรับมือ เดิมทีไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด

ป้าบ!

ซูเจิ้งหือสูบบุหรี่มวนหนึ่งต่ออีกครั้ง กลัดกลุ้มจนเลิกครุ่นคิดอย่างหนักในหัวสมองลง แววความพ่ายแพ้บนหน้านั้นแวบผ่านไป ส่ายหน้าด้วยความจำใจ

“พ่อหนุ่ม ไม่คิดเลยว่านายจะวางหมากได้ลึกขนาดนี้ จงใจล่อฉันเสียด้วย”

เย่เทียนหัวเราะอย่างขวยอาย “คุณลุงชมเกินไปแล้วครับ”

ซูเจิ้งหือพูดอย่างไม่ยอม “เล่นอีกสักตาเถอะ! คราวนี้ฉันจะไม่หลงกลนายง่ายๆ แล้ว!”

“ครับ” เย่เทียนไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว

ตอนนี้ทั้งสองคนจัดวางหมากเรียบร้อย รอบนี้ปล่อยให้ซูเจิ้งหือเล่นก่อน

ส่วนกลยุทธ์ของเย่เทียนก็พลิกกลับสามร้อยหกสิบองศา จากแผนการป้องกันเพื่อโจมตีในรอบแรกเป็นโจมตีเพื่อป้องกันแทน เริ่มต้นก็เผยความดุร้ายเฉียบแหลม เริ่มการรุกรานที่โหดเหี้ยม

ต้องชมซูเจิ้งหือที่เจองานหนักด้านทักษะการเล่นหมากมารอบหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้นเกรงว่ายังต้านทานการโจมตีบ้าคลั่งของเย่เทียนไม่อยู่

แน่นอนว่า สิ่งสำคัญคือความบ้าคลั่งของเย่เทียนยืนหยัดมาได้เพียงประมาณสามนาที จากนั้นจมสู่ช่วงไร้กำลังจะไปต่อได้ ทำให้ซูเจิ้งหือได้รับเวลาควบคุมอำนาจที่หาได้ยากอยู่หน่อย

เวลานี้ ซูเหมยที่เป็นห่วงการพูดคุยของสองคนในที่สุดเดินกลับมาแล้ว หลังมองเห็นสองคนกำลังเล่นหมากรุก อดไม่ได้แอบโล่งอกไปทีหนึ่ง

“เย่เทียน นายกำลังคิดอะไรอยู่? ให้ฉันเล่นรุกฆาตไปตรงๆ ก็ไม่ได้แล้วเหรอ!”

สังเกตสถานการณ์ของสองฝ่ายพักหนึ่ง ซูเหมยที่อยู่ด้านข้างสั่งการขึ้นมามั่วๆ อย่างไม่คิดไตร่ตรอง

เธอรู้เรื่องหมากรุกมาเพียงเล็กน้อย ห่างไกลจากทักษะเล่นหมากเหนือชั้นของซูเจิ้งหือ เวลานี้เห็นเย่เทียนครุ่นคิดหนักไม่ขยับเดินหมาก อดเสนอความเห็นขึ้นมาไม่ได้

เย่เทียนชำเลืองมองเธออย่างสบายๆ แวบหนึ่ง พูดเตือนสติแบบเรียบนิ่ง “ดูคนอื่นเล่นหมากแล้วไม่พูดคือผู้ดี!”

“เดิมทีฉันก็ไม่ใช่ผู้ดีอยู่แล้ว”

ซูเหมยแลบลิ้นแล้ว ทำหน้าซุกซนน่ารัก

เย่เทียนเงียบเฉย ไม่ได้ตอบกลับ แต่ว่าเดินหมากที่อันตรายน่ากลัวไปแล้ว พยายามออกจากสภาพอับจนหนทาง

ซูเจิ้งหือเห็นแบบนี้ ชั่วขณะนั้นมองเย่เทียนด้วยความหมายลึกซึ้ง ปิดล้อมหมากของเย่เทียนที่บุกเข้ามาตัวเดียวนั้นไว้แน่นหนาอย่างไม่รีบร้อน

ชั่วพริบตาเดียวเย่เทียนขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา ซูเหมยยิ่งร้องตกใจสักหน่อย พูดตำหนิว่า “ให้นายกินไม่ยอมกิน แบบนี้ก็ดีเลยสิท่า? หมากที่มีกำลังเพียงหนึ่งเดียวโดนปิดตายแล้ว ชนะไม่ได้แล้ว”

“เป็นผมแพ้แล้ว”

เย่เทียนหัวเราอย่างเขินอาย ไม่ได้สนใจการเยาะเย้ยของซูเหมยโดยสิ้นเชิง

“นายอายุเท่านี้มีฝีมือเล่นหมากแบบนี้ได้ ถือว่าเก่งมากแล้ว!”

ซูเจิ้งหือกล่าวคำชมเชยออกมาจากภายในใจ

“นายท่านรอง คุณหนูใหญ่ ท่านปู่ออกมาแล้วค่ะ”

เวลานี้น้าฟางที่รับหน้าที่ดูแลซูหงจวินโดยเฉพาะเดินออกมาแล้ว มองเย่เทียนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“คุณปู่ออกมาแล้ว?”

ซูเหมยตะลึง “ไป พวกเราไปดูหน่อยเถอะ”

ระหว่างที่พูด ซูเหมยรีบลากเย่เทียนเดินไปที่ห้องของซูหงจวินทันที

ซูเจิ้งหือที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ค่อยๆ ลุกขึ้นเช่นกัน แต่เพิ่งเดินมาได้สองก้าว กลับชนเข้ากับจ้าวเสว่เฟินที่ได้รับข่าวจนรีบร้อนออกมาจากห้องครัวเข้าแล้ว

“เสี่ยวเย่เด็กคนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

จ้าวเสว่เฟินที่รู้นิสัยของซูเจิ้งหือดีเห็นได้ชัดว่าเข้าใจวิธีทดสอบว่าที่ลูกเขยของผู้ชายตนเองอย่างมาก พอเข้ามาจึงรีบถามขึ้นอย่างรอไม่ไหว

“เป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นมาก”

ซูเจิ้งหืออดพูดชื่นชมไม่ได้ “ไม่ว่าจะเป็นด้านคำพูดการกระทำ หรือว่าด้านความคิดการตอบสนอง ล้วนเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมสุดที่ผมเคยเจอ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่