“เขาเป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาจนถึงตอนนี้!”
ซูเจิ้งหือหยิบบุหรี่ที่เย่เทียนทิ้งไว้บนโต๊ะกาแฟจุดไฟขึ้นอีกมวนหนึ่ง พูดชมเชยออกมาจากในใจ
“คุณพูดจริงรึเปล่า?”
จ้าวเสว่เฟินทำหน้าไม่เชื่อ
“เรื่องนี้ผมจะหลอกคุณทำไม? เสี่ยวเหมยเป็นลูกสาวของคุณ หรือว่าไม่ใช่ลูกสาวของผมเหรอ?”
ซูเจิ้งหือสีหน้าจริงจัง ส่ายบุหรี่ในมือ “อย่ามองว่าเขาพกบุหรี่ติดตัวไว้ แต่เมื่อกี้เขาไม่ได้สูบสักมวนเดียว ผมเดาว่าเขาเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อมาเจอผมมากกว่า”
“ยิ่งไปกว่านั้น คุณก็รู้ฝีมือเล่นหมากของผมดีนี่ เมื่อกี้ตาแรกผมแพ้แบบย่ำแย่มาก ไม่มีความสามารถจะต้านทานได้เลยสักนิด”
“และตาที่สองถึงจะบอกว่าผมชนะ แต่นั่นคือเขาใช้วิธีเสี่ยงอันตรายทุกจังหวะก้าว ถ้าสุขุมสักหน่อย คนที่แพ้นั้นก็ยังคงเป็นผม”
“ทั้งที่สามารถชนะได้ ทำไมต้องจงใจแพ้ด้วยล่ะ? ยังไม่ใช่กำลังยอมให้ผมเหรอ ทั้งพิจารณาถึงหน้าตาของผมกลัวทำลายศักดิ์ศรีของผม ถึงตั้งใจเล่นแบบรุนแรงขนาดนั้น”
“เฮ้อ ก่อนหน้านี้คิดว่าคุณชายตระกูลเศรษฐีอะไรพวกนั้นไม่เลว ตอนนี้เอาเย่เทียนมาเปรียบเทียบ ก็คือแย่กว่าจนไม่รู้โดนทิ้งห่างไปไกลมากเท่าไรเลยทีเดียว!”
จ้าวเสว่เฟินพยักหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ ชั่วขณะนั้นจิตใจที่พะว้าพะวังอยู่ก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ตอนหล่อนอยู่ที่เจียงหนันก็เคยสัมผัสกับเย่เทียนมาตั้งแต่แรก แต่ตอนนั้นพิจารณาถึงสาเหตุของหลี่เฟิง ความเข้าใจของหล่อนที่มีต่อเย่เทียนจำกัดมาก แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเดิมทีไม่เข้าใจอะไรเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากวินาทีนั้นที่เย่เทียนหยิบการ์ดมังกรดำออกมา หล่อนยังจะเชื่อว่าเย่เทียนเป็นเพียงบอดี้การ์ดจริงที่ไหนล่ะ?
แต่ ไม่ว่าหล่อนจะโจมตีซูเหมยด้วยการประชดอย่างไรก็ตาม เป็นตายอย่างไรกลับไม่สามารถได้รับข้อมูลที่แม่นยำ โดยเฉพาะหลังจากเมื่อสักครู่รู้ว่าซูเหมยและเย่เทียนมีความสัมพันธ์ทางกายแล้ว หล่อนในฐานะแม่คนนี้จะไม่กังวลได้เหรอ?
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลังผ่านการแช่ตัวสีผิวแปลกประหลาดที่ปรากฏสีม่วงนั้นของท่านปู่ซูในที่สุดก็เลือนหายไปไม่น้อย ขอเพียงแช่อีกครั้งสองครั้ง ต้องฟื้นกลับมาปกติได้แน่
เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุที่แช่นานเกินไปหรือไม่ ท่านปู่ซูถึงดูอ่อนแออยู่บ้างอย่างชัดเจน
หลังจากได้รับรู้ว่านี่คือคุณงามความดีของเย่เทียน ซูเจิ้งหือหัวเราะหุบปากไม่ลง เกือบตะโกนลั่นยกซูเหมยให้แต่งงานด้วยตรงนั้นเลย
ถึงแม้จะไม่รู้ชัดว่าเย่เทียนทำอะไรกันแน่ แต่อาศัยเพียงฝีมือการแพทย์นี้ ไม่อาจทำให้ซูเหมยอดตายหรอกมั้ง?
ทั้งบ้านอยู่ในห้องของซูหงจวิน พูดคุยกันอย่างสนุกสนานกลมเกลียวอยู่ไม่นานนัก น้าฟางก็เข้ามาเรียกไปทานข้าว
บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุที่เย่เทียนลงมือรักษาท่านปู่ซูหงจวินแล้ว ท่าทีของทั้งตระกูลซูที่ปฏิบัติต่อเย่เทียนล้วนดูสนิทสนมขึ้นมา
โดยเฉพาะตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่มีหน้ามีตาในจ๊กกลาง ด้านขนาดการต้อนรับเย่เทียน ยิ่งไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย
ในห้องจัดวางโต๊ะกลมตัวใหญ่ตัวหนึ่ง คนรับใช้สามสี่คนคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง บนโต๊ะวางอาหารรสเลิศไว้มากมาย ตอนที่เดินเข้ามาจากไกลๆ ก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นแล้ว
เย่เทียนมองออกอย่างแจ่มแจ้ง มีความรู้สึกดีต่อตระกูลซูเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง
“ผู้มีบุญคุณ มานั่งทางฉันนี้เถอะ เดี๋ยวฉันจะได้ดื่มกับผู้มีบุญคุณด้วยสักสองแก้ว!”
พอซูหงจวินมองเห็นเย่เทียนปรากฏตัว ก็หน้าตาเบิกบานทันที
คิดว่าหลานสาวตนเองไปเจียงหนันคราวนี้ หาผู้ชายที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งได้จริงๆ
“ได้ครับ ท่านปู่”
เย่เทียนกลับไม่ได้เกรงใจ เดินตามเข้าไป จากนั้นนั่งลงข้างขวาของซูหงจวิน
ซูเหมยมองเย่เทียนเรียกสนิทสนมขนาดนี้ อดมองเขาตาค้อนไปทีหนึ่งไม่ได้ กลับไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นมาก ตามมานั่งอยู่ข้างกายเย่เทียน
หลังจากที่พวกเขาสองคนนั่งลง ซูหงจวินถึงพยักหน้าแล้ว หันไปทางซูเจิ้งหือที่อยู่ด้านซ้ายแล้วถามว่า “พี่ชายแกล่ะ?”
“น่าจะใกล้เข้ามาแล้วมั้งครับ?”
ซูเจิ้งหือไม่ได้แน่ใจมากนัก หลังจากแยกบ้านกันไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ชายคาบ้านเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนพี่น้อง กลับจืดจางลงไปไม่น้อย
ไม่มีทางเลือก ด้านในนี้เกี่ยวเนื่องถึงหลายด้าน ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีให้ชัดเจนไม่ใช่เหรอ?
“เฮ้อ ซูเจิ้งไห่คนนี้ ไม่รู้อยากเล่นเล่ห์กลไม่ดีอะไรอีก แม้แต่คำพูดของฉันก็ไม่ฟังงั้นเหรอ? ให้เขากลับมากินข้าวเท่านั้นเอง ยังต้องอืดอาดยืดยาด!”
ซูหงจวินเหมือนไม่พอใจต่อลูกชายคนโตคนนี้ของตนเองมากๆ บ่นอย่างหนักเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่