ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 305

“คุณลุงคะ คุณลุงถามเรื่องพวกนี้ทำไมกันคะ?”

สำหรับน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับการซักถามนี้ของซูเหมย นัยน์ตาของซูเจิ้งไห่มีความไม่พอใจแฉลบผ่านอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานก็กลับคืนเข้ามาดังเดิม อมยิ้มบอกว่า “ไม่มีอะไร ถามดูเฉยๆ”

“แต่ลุงว่านะ เสี่ยวเหมย เธอออกไปอยู่ข้างนอก อย่าถูกพวกมีเจตนาแอบแฝงหลอกเอาได้ โดยเฉพาะโลกนี้ไม่ได้ใสซื่อแบบที่เธอคิดขนาดนั้น”

พูดแบบนี้ออกมา ถึงแม้ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ ทุกคนก็รู้ว่ากำลังพูดถึงเย่เทียน

ชั่วขณะนั้นซูหงจวินขมวดคิ้วยกใหญ่ ตะโกนบอกว่า “เจิ้งไห่ กินข้าวก็กินข้าว แกพูดจาเหลวไหลอะไรกันนักหนา!”

“ผมไม่ได้พูดเหลวไหล”

หน้าของซูเจิ้งไห่เผยยิ้มเยาะ สายตาตกอยู่บนตัวเย่เทียน “พูดตามตรงนะ สำหรับเรื่องที่เสี่ยวเหมยหาแฟนคนนี้มา ผมไม่พอใจที่สุด พูดถึงความสามารถก็ไม่มีความสามารถ พูดถึงเบื้องหลังก็ไม่มีเบื้องหลัง แล้วจะคู่ควรกับตระกูลซูของพวกเราได้ยังไงกัน?”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราตระกูลซูเป็นตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียง ต่อให้หาลูกเขย ก็จำเป็นต้องหนุ่มหล่อแบบของตระกูลหลี่ หรือว่าตระกูลหยางสิ!”

กำลังพูดอยู่ เขาชี้ไปยังเย่เทียนแล้ว “ผู้ชายจนๆ แบบนี้ ไม่คู่ควรเข้าประตูบ้านพวกเราหรอก!”

หลังจากเขาพูดจบลง ชั่วพริบตาเดียวสีหน้าซูหงจวินดูแย่อยู่บ้าง

ลูกชายคนโตของตนเอง แต่ไหนแต่ไรหยิ่งยโสโอหัง ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น ตอนเป็นหนุ่ม ก่อเรื่องวุ่นไม่น้อย จนถึงอายุปูนนี้ ยังก่อเรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้อยู่! น่าโมโหเสียจริงเลย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เย่เทียนก็ช่วยชีวิตเขาไว้แล้ว ยังมีวิธีการมหัศจรรย์สารพัดด้วย ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบได้เด็ดขาด ส่วนลูกชายคนโตของตนเองผู้นี้จะรู้ได้อย่างไร?

ซูเจิ้งหือก็สีหน้าดูไม่ดีอยู่บ้างเช่นกัน คำพูดนี้ดูเหมือนกำลังต่อว่าเย่เทียน ความเป็นจริงเห็นได้ชัดกำลังว่าเขาดูคนไม่เป็น

เพียงแค่ไม่รอให้ซูหงจวินส่งเสียงตำหนิ เย่เทียนที่แทะน่องไก่อยู่ก็หัวเราะขึ้นมาฉับพลัน

“นายหัวเราะอะไร?”

ซูเจิ้งไห่หันหน้าเข้ามา จ้องเย่เทียนอย่างเย็นชา

“ไม่มีอะไรครับ แค่นึกเรื่องตลกที่น่าขำเรื่องหนึ่งได้ คุณลุงเชิญพูดต่อเลย ผมฟังอยู่”

เย่เทียนสีหน้าไม่เปลี่ยน ตอบไปอย่างเรียบนิ่ง

พูดแบบนี้ออกมา ซูเจิ้งไห่สีหน้าอึมครึม ท่าทีนี้ของเย่เทียน ชัดเจนว่าไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา!

ความจริงก่อนหน้านี้นานแล้ว เขาได้ยินเรื่องของเย่เทียนมาจากตระกูลหลี่ทางนั้น ว่าต่อยหลี่เฟิงที่ไปหาซูเหมยที่เจียงหนันอย่างหนักไปยกหนึ่ง

เดิมทีเขามีสัมพันธไมตรีกับตระกูลหลี่ การให้ซูเหมยกลับมาแต่งงานกับหลี่เฟิง นี่คือเรื่องผลประโยชน์ของตระกูลที่สอดคล้องกันที่สุด

แต่ว่า ซูเหมยไม่ยินยอม หลังจ้าวเสว่เฟินภรรยาน้องชายคนนี้กลับมา ยังแอบเปลี่ยนท่าทีแล้ว รบกวนแผนการของเขาอย่างหนัก

ดังนั้นวันนี้หลังรู้ว่าเย่เทียนมาถึงจ๊กกลาง เขาจึงวางงานในมือลงแล้วเข้ามาหาเลย เป้าหมายคืออยากดูสักหน่อย สรุปแล้วเย่เทียนคนนี้มีความสามารถอะไร ถึงสามารถทำให้ซูเหมยหลงจนไม่ลืมหูลืมตา แม้แต่บิดาของตนเอง ยังชอบอกชอบใจเขาไปด้วยเช่นกัน

ตอนนี้พอมองดู สิ่งที่พบคือชายหนุ่มที่ธรรมดามากคนหนึ่ง ดังนั้นเดิมทีไม่ได้เก็บเย่เทียนมาใส่ใจ

ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะแสบแก้วหูของเย่เทียน เหมือนกำลังเย้ยหยันเขา ทำให้เขาโกรธเคืองแบบไร้ที่เปรียบทันใด

“ฉันไม่สนว่านายเป็นใคร ที่จ๊กกลาง นายจำเป็นต้องฟังฉัน!”

“พูดตามจริง ฉันคิดว่านายไม่เหมาะกับหลานสาวฉัน ยิ่งไม่อาจเข้ามาในประตูใหญ่ตระกูลซูของฉันได้ เจียมตัวหน่อย ตอนนี้นายไสหัวออกไปให้ฉันซะ ไม่อย่างนั้น......”

ซูเจิ้งไห่กระแอมอย่างเย็นชา ความหมายข่มขู่ที่แม้จะไม่พูดออกมาก็เข้าใจได้

“ไม่อย่างนั้นคุณจะทำอย่างไร?”

เย่เทียนสีหน้าเย็นชาลงมา เขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรสักอย่าง และไม่ได้หาเรื่องฝ่ายตรงข้ามด้วย แต่พอฝ่ายตรงข้ามเข้าประตูมาก็คอยแต่จับผิดเขาอยู่ไม่ห่าง ทำไมกัน? เห็นว่าเขาเย่เทียนไร้ความสามารถจริงอย่างนั้นเหรอ?

“ไม่อย่างนั้น ฉันมีเป็นร้อยวิธี สามารถทำให้นายหายไปจากบนโลกนี้แบบไร้สาเหตุ!”

ซูเจิ้งไห่พูดอย่างมั่นใจ

“ซูเจิ้งไห่ แกไสหัวออกไปให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

ซูหงจวินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตบบนโต๊ะทันใด ลุกยืนขึ้นมา

ตามองเห็นว่าท่านปู่อารมณ์ขึ้น ซูเจิ้งไห่มึนงง กดไฟโกรธในใจไว้ “พ่อครับ ผมทำเพราะหวังดีกับตระกูลซูของพวกเรา เขาก็แค่คนจนๆ คนหนึ่ง เทียบกับตระกูลหลี่คนนั้นได้ที่ไหน ให้เสี่ยวเหมยแต่งงานกับหลี่เฟิง ยิ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ตระกูลของพวกเรามากกว่าด้วย!”

หลังเขาพูดจบลง สีหน้าของซูเจิ้งหือก็ดูแย่ขึ้นมากะทันหัน

ซูเหมยเป็นลูกสาวของเขา แต่อยู่ในปากของพี่ใหญ่ของตนเองคนนี้ กลับกลายเป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ นี่จะให้เขาอดทนไหวได้อย่างไร?

“พี่ใหญ่ เรื่องแต่งงานของเสี่ยวเหมย คงไม่รบกวนให้พี่กังวลใจแล้ว ผมรู้ว่าควรทำอย่างไร”

เขาตอบอย่างเย็นชา

“นายเห็นว่าตระกูลหลี่ดูภายนอกธรรมดาขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? หากไม่มีการสนับสนุนของตระกูลหลี่ ครั้งนี้พวกเราต้องไม่มีทางได้แบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากเหมืองหินหยกแน่ นายจะยอมเห็นตระกูลซูของพวกเราตกต่ำ?”

ซูเจิ้งไห่ก็โมโหเช่นกัน

เขานึกไม่ถึงว่า บิดาและน้องชายของตนเองล้วนไม่สนับสนุนตนเอง

ซ่งชูหลาน ภรรยาของเขาก็เอ่ยปากตามว่า “ใช่ น้องรอง พี่ชายของนายพูดถูกต้อง มีเพียงหลี่เฟิงคนเดียว ถึงคู่ควรกับเสี่ยวเหมยของบ้านพวกเรา”

“คู่ควรหรือไม่คู่ควร คุณตัดสินไม่ได้ ผมกลับคิดว่า ผมสามารถมอบความสุขให้ซูเหมยได้”

เวลานี้ เย่เทียนเอ่ยปากอย่างสบายๆ

“นายมอบความสุขให้เสี่ยวเหมยได้? เพ้อเจ้อ!”

ซูเจิ้งไห่หัวเราะเยาะเย้ย “นายคิดว่านายเป็นใคร ไอ้คนจนที่พื้นฐานไม่ดี พูดถึงเบื้องหลังก็ไม่มีเบื้องหลัง พูดถึงความสามารถก็ไม่มีความสามารถ ไม่ต้องมาพูดถึงฉัน ถ้าตระกูลหลี่อยากหาเรื่องนายเข้า นายสักสิบคนก็ไม่พอให้ตาย”

“เรื่องพวกนี้ที่คุณพูดมา สำหรับผมแล้ว เป็นแค่เรื่องที่จัดการได้ในหมัดเดียวเท่านั้นเอง”

เย่เทียนส่ายหน้าด้วยความจำใจ พูดจาสงบนิ่ง ทว่ากลับเต็มไปด้วยความอันธพาล

“โอหัง!”

ในใจซูเจิ้งไห่โกรธจัด แต่พอครุ่นคิดดู กลับไม่ได้พูดต่อไปอีก “ในเมื่อคุณพ่อกับน้องรองไม่ฟังที่เตือน งั้นผมไม่พูดแล้วก็ได้ แต่ว่า พวกคุณรีบไล่เขากลับเร็วๆ ดีกว่า ไม่อย่างนั้น ผมไม่รับประกันว่าเขาอยู่ที่จ๊กกลางจะเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า”

พูดจบ ซูเจิ้งไห่ขี้เกียจอยู่ต่อไปอีก หมุนตัวก้าวใหญ่ๆ เดินไปด้านนอก

“คุณปู่ครับ ผม ผมขอไปเกลี้ยกล่อมคุณพ่อหน่อยนะครับ”

ซูเย่าหมิงแอบกลืนน้ำลายลงแล้ว รีบวิ่งเร็วๆ ตามไป

ไม่นาน ซูเย่าหมิงก็ตามเข้าไปทัน “พ่อครับ”

ไม่รอให้ซูเย่าหมิงพูดออกมา ซูเจิ้งไห่ถอนหายใจอย่างน่าประหลาดก่อนแล้ว

“เย่าหมิง แกคงคิดว่าที่ฉันทำแบบนี้ไร้หัวใจโหดร้ายมากเหมือนกันใช่มั้ย? แต่ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง ว่าทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมต่อเสี่ยวเหมยเอามากๆ”

“แต่ที่ฉันทำแบบนี้เพราะหวังดีกับตระกูลซูของพวกเรา!”

“ตอนนี้ตระกูลซูของพวกเราในจ๊กกลางยิ่งเสื่อมถอยลง แม้กระทั่งกิจการเล็กๆ ที่แต่ก่อนยอมก้มหัวให้พวกเราเหล่านั้นก็ค่อยๆ เริ่มกำเริบต่อพวกเราขึ้นมา”

“ถ้าพวกเราไม่สามารถเปลี่ยนสภาพตอนนี้ให้ไวที่สุดได้ ไม่ช้าหรือเร็วก็คงมีสักวันโดนปัดตกลงไปแน่”

“เหมืองหินหยกในครั้งนี้เป็นโอกาสของพวกเรา ถ้าไม่อาจแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งจากในนี้มาได้ ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างสองฝั่งนี้ พวกเราตระกูลซูจะไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสมในจ๊กกลางอีก!”

ซูเย่าหมิงได้ยิน อารมณ์ดูหนักหน่วงพอสมควร พยักหน้าแล้ว “พ่อครับ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะกล่อมคุณปู่ดูหน่อย”

“พอแล้ว แกกลับไปกินข้าวเถอะ! พ่อมีธุระต้องทำอีก ไปก่อนแล้วนะ”

ซูเจิ้งไห่โบกมือให้ ก้าวใหญ่ๆ ออกไปจากคฤหาสน์อย่างว่องไว

มองภาพด้านหลังของซูเจิ้งไห่ที่ไม่ถือว่ากว้างและหนานั้นอยู่ พลันนึกไปถึงการกระทำเมื่อช่วงค่ำนี้ ซูเย่าหมิงบีบหมัดแล้ว พูดสัญญาอย่างหนักแน่น “พ่อครับ พ่อวางใจได้ ผมจะต้องไม่ทำให้ตระกูลซูเกิดเรื่องใดๆ ได้แน่นอน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่