ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่ นิยาย บท 306

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดข้างนอก คนที่อยู่ในห้องย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา

ถูกซูเจิ้งไห่อาละวาดขนาดนั้น สีหน้าของทุกคนในเหตุการณ์ล้วนดูไม่ดีพอสมควร

“เย่เทียน ขอโทษนะ ลุงฉันเขาก็เป็นแบบนี้ นายอย่าใส่ใจเลย”

ซูเหมยที่อยู่ด้านข้างพูดขอโทษทางเย่เทียนด้วยเสียงต่ำ

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ใส่ใจ”

เย่เทียนเพียงแค่ส่ายหน้า เขาไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจจริงๆ

ได้ยินคำพูดนี้ ชั่วขณะนั้นซูเหมยโล่งลงไปทีหนึ่ง ถึงแม้เธอจะไม่ยอมรับ แต่เธอยังใส่ใจท่าทีของเย่เทียนอยู่บ้างจริงๆ

ส่วนในเวลานี้ ซูเย่าหมิงกลับมาแล้ว บอกกับปู่ตนเองว่า “คุณปู่ครับ ขอโทษนะครับ ช่วงนี้งานที่บริษัทมีไม่น้อย คุณพ่อหงุดหงิดอยู่มาก ดังนั้นเลยอารมณ์ร้อนไปหน่อย......”

“พอแล้ว พ่อแกเป็นคนยังไง ฉันจะไม่รู้เชียวเหรอ? นั่งลงเถอะ อย่าไปสนใจเขา กินข้าวเถอะ”

ซูหงจวินพูดอย่างจำใจ จากนั้นมองเย่เทียนแบบรู้สึกผิดแวบหนึ่ง

เย่เทียนยังยิ้มอยู่ ถึงแม้ทุกคนจะแสดงออกว่าไม่สนใจ แต่พอซูเจิ้งไห่โวยวายยกหนึ่ง สีหน้าของทุกคนก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

“เสี่ยวเทียน ทำขายหน้าให้นายเห็นแล้ว ขอโทษนะ รู้สึกเหนื่อยล้า ขอไม่อยู่ตรงนี้ต่อแล้ว”

ซูหงจวินกล่าวขอโทษทางเย่เทียน จากนั้นลุกขึ้นยืน

“พ่อคะ หนูไปเป็นเพื่อนเองค่ะ”

จ้าวเสว่เฟินรีบลุกขึ้น ประคองซูหงจวินไว้เดินเข้าข้างใน

ตรงที่พวกเขาทั้งหมดมองไม่เห็น ซูหงจวินเดินเข้าข้างใน ในสายตากลับมีแสงคลุมเครือแวบผ่านไป

ไม่มีใครรู้จักลูกชายดีไปกว่าพ่อ!

มากบ้างน้อยบ้างซูเจิ้งไห่เคยพูดกับเขาหลายครั้งถึงสาเหตุที่อยากให้ซูเหมยแต่งงานกับหลี่เฟิง เขาย่อมรู้แจ่มชัดมากว่าซูเจิ้งไห่คิดอย่างไร

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คัดค้านอะไรมาก แต่พอเจอเหตุการณ์ที่เย่เทียนรักษาตนเองแล้ว ซูหงจวินเลี่ยงได้ยากที่จะไม่พิจารณาตามเหตุการณ์ดูอีกสักรอบ

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ซูหงจวินส่ายหน้าแบบจำใจ ตัดสินใจเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะตามซูเจิ้งไห่มาพูดคุยสักหน่อย

อาหารมื้อหนึ่งจบลงกะทันหัน ซูเย่าหมิงที่นั่งอยู่ด้านข้างกลอกลูกตาวนรอบหนึ่ง ไม่นานก็มองมายังเย่เทียนด้านข้าง พูดขอโทษแบบท่าทางจริงใจเต็มที่ “เย่เทียน วันนี้เรื่องเมื่อเช้านายอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะ”

“เพื่อแสดงการขอโทษของฉัน ฉันจะพานายไปเล่นข้างนอกที่สถานบันเทิงดีที่สุดในจ๊กกลางของพวกเรา นายคิดว่ายังไง?”

“ได้สิ!” เย่เทียนได้ยิน นัยน์ตาเผยรอยยิ้มออกมาแบบคลุมเครือ

ตอนที่หน้าประตูสนามบินเขาก็สังเกตออกว่าซูเย่าหมิงคนนี้มีความเป็นศัตรูต่อตนเอง จากคำอธิบายของจ้าวเสว่เฟินเขาถือว่ารู้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไรกัน

ต่อให้ใช้หัวนิ้วเท้าคิด เย่เทียนยังพอจะเดาได้ว่าซูเย่าหมิงชวนตนเองออกไปไม่เพียงแค่อยากขอโทษธรรมดาขนาดนี้เด็ดขาด แต่เขาเป็นคนมีฝีมือและกล้าหาญ จะมีอะไรน่ากลัวอีกล่ะ?

อย่างไรเสีย ช่วงกลางคืนนี้ให้เขาอยู่ตระกูลซูเสียเวลาพูดคุยกับพวกท่านปู่เขาแบบเชื่อฟัง นั่นยังไม่สู้ไปดูสักหน่อย เขาก็อยากรู้ว่าซูเย่าหมิงจะเล่นกลอุบายอะไรออกมาได้กันแน่

ความเบิกบานของเย่เทียนกลับทำให้ซูเย่าหมิงอดตะลึงไม่ได้ ข้ออ้างส่วนหนึ่งที่เตรียมเอาไว้ติดอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

“เย่เทียน ไม่อย่างนั้นฉันไปเป็นเพื่อนนายด้วยกันไหม?”

เป็นซูเหมยที่เป็นห่วงพอสมควร

“วางใจเถอะ ฉันออกไปเปิดหูเปิดตากับเย่าหมิง จะไม่มีเรื่องอะไรหรอก”

เย่เทียนหัวเราะฮาๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “วันนี้เธอเพิ่งกลับมา เทียบกันแล้วต้องมีเรื่องมากมายอยากคุยกับพ่อแม่ และคุณปู่ เธอไม่ต้องตามไปด้วยหรอก”

“ถูกๆ พี่เสี่ยวเหมย นี่ไม่ใช่ว่าผมเห็นพี่เย่มาจ๊กกลางเป็นครั้งแรกเหรอ แค่พาเขาออกไปเที่ยวเล่นเอง พี่วางใจเถอะ!”

ซูเย่าหมิงถือโอกาสพูดเสริมไป โอบแขนของเย่เทียนไว้พาเดินไปข้างนอก ทิ้งซูเหมยไว้ที่เดิมแบบนั้น

หลังจากเดินออกจากประตูใหญ่มา เย่เทียนควักกุญแจลัมโบร์กีนีออกมาอย่างคล่องแคล่วมาก นั่งเข้าไปในที่นั่งคนขับแบบสบายอกสบายใจ

ฉากนี้ทำให้ซูเย่าหมิงมองจนหางตากระตุกรุนแรง ทั้งที่เป็นรถยนต์ของเขา กลับเป็นเย่เทียนใช้วิธีการบังคับยึดครองไป เขาไม่คับแค้นใจสักนิดต่างหากถึงจะเป็นเรื่องแปลกจริงๆ

“นายยังอึ้งอยู่ทำอะไร? ขึ้นมาสิ!”

ไม่รอให้ซูเย่าหมิงดึงสติกลับมา ข้างหูก็มีคำพูดที่เป็นธรรมชาติของเย่เทียนดังขึ้นอีก

เห็นเย่เทียนที่คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยตบๆ ตำแหน่งของที่นั่งข้างคนขับ ซูเย่าหมิงโกรธจนกัดฟันแน่น ทนไม่ไหวกุมหมัดแน่นแล้ว

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่บนหน้าเขากลับไม่เปิดเผยออกไปสักนิด แม้กระทั่งบนหน้ายังแย้มรอยยิ้มที่ซ่อนความหมายลึกซึ้งซึ่งมีเพียงผู้ชายถึงจะเข้าใจออกมา

“ช่างเถอะ รถคันนี้นั่งได้แค่สองคน ฉันขับอีกคันไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นตอนค่ำจะกลับมาไม่สะดวก”

“เย่าหมิง นายคงไม่ได้คิดจะพาฉันไปสถานที่แบบนั้นมั้ง? ฉันบอกเอาไว้ก่อนนะ ฉันคนนี้เป็นคนซื่อตรงมาก จะไม่ทำเรื่องใดๆ ที่ผิดต่อพี่สาวนายเด็ดขาด”

ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่บนหน้าเย่เทียนกลับเผยท่าทางสนใจมากออกมา

“พี่เย่ พี่สบายใจได้!”

ซูเย่าหมิงหัวเราะฮาๆ ในใจยิ่งเหยียดหยามต่อเย่เทียนเพิ่มขึ้นมาอีก

ทั้งที่เป็นคนมักมากในกามคนหนึ่ง ยังจะแสร้งเป็นผู้ชายที่ดีอะไร? พวกบ้านนอกก็คือพวกบ้านนอก คนแบบนี้จะมาเป็นพี่เขยของตนเองได้เหรอ?

พิจารณาถึงตรงนี้ ซูเย่าหมิงขี้เกียจพูดไร้สาระกับเย่เทียนต่อไป ขับอาวดี้R8นำอยู่ข้างหน้าไปก่อน

เพียงแต่ เพิ่งขับออกมาจากตระกูลซูเป็นระยะทางไม่ไกลนัก ก็สวนทางกับเฟอร์รารี่สีแดงคันหนึ่ง

รถแข่งหรูหราไม่ว่าวางไว้ตรงไหนล้วนดึงดูดความสนใจ ต่อให้เป็นเย่เทียนยังอดมองมากๆ สักหน่อยไม่ได้ แอบคิดว่ารูปทรงรถคันนี้เหมือนคุ้นตาอยู่บ้าง

เอี๊ยด!

เฟอร์รารี่สีแดงที่แล่นอยู่เหยียบเบรกอย่างฉับไว ใช้วิธีการหมุนวนเลี้ยวโค้งเข้ามาตรงถนนด้านหน้า รีบไล่ตามกลับไปทางเส้นเดิม ที่นั่งอยู่ในรถ ไม่ใช่สองพี่น้องตระกูลฮั่วแล้วจะยังมีใครได้?

“พี่คะ พี่ทำอะไรกัน? อยู่ดีๆ ทำไมถึงเลี้ยวกลับแล้ว? พวกเราไม่ไปตระกูลซูแล้วเหรอ?”

ฮั่วหลิงเยว่นั่งอยู่ข้างคนขับมัวแต่เล่นมือถือเกิดเหตุกะทันหันจนศีรษะเกือบกระแทกไป บนหน้างดงามเต็มไปด้วยความมึนงง

“เธอดูหน่อยสิว่าด้านหน้ารถคันนั้นคือของใครกัน?”

ฮั่วเยี่ยนจือจ้องท้ายรถของรถส่วนตัวข้างหน้าด้วยสายตาลุกวาว เธอชัดเจนดีมาก ที่ด้านหน้าของรถส่วนตัวคันนี้ ก็มีลัมโบร์กีนีสีเหลืองคันหนึ่งอยู่

“มีที่ไหนกัน?”

ฮั่วหลิงเยว่รีบร้อนมองไปข้างหน้า แต่เนื่องจากรถส่วนตัวบดบัง หล่อนจะพบลัมโบร์กีนีได้ที่ไหนกัน?

“พี่คะ พี่อ่อนไหวเกินไปรึเปล่า? มองเห็นรถสีเหลืองก็คิดว่าเป็นของซูเย่าหมิงคันนั้นแล้ว?”

“ฉันมองไม่ผิดเด็ดขาด”

ฮั่วเยี่ยนจือส่ายหน้า มุมปากวาดรอยยิ้มได้ใจขึ้น

“หลิงเยว่ ไม่รู้ว่าเธอสังเกตเห็นรึเปล่า เจ้าหมอนั่นมีนิสัยขับรถที่ชัดเจนมากอย่างหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาขับรถของซูเย่าหมิงหรอก ต่อให้เปลี่ยนรถคันอื่น พี่ยังจำเขาออกได้!”

“งั้นเหรอ?”

ฮั่วหลิงเยว่พยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นยิ้มแย้มบอกว่า “สนใจเขาทำไม ในเมื่อฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ฉันแค่ชอบนั่งรถที่พี่สาวขับ เร้าใจดี!”

ฮั่วเยี่ยนจือหัวเราะอย่างจำใจ ตามองเห็นทางด้านข้างมีช่องว่าง ทันใดนั้นหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไป แซงหน้ารถหลายคันต่อเนื่อง จนกระทั่งมาถึงด้านหลังของลัมโบร์กีนีอย่างรวดเร็ว

“ว้าว! พี่สาวเก่งมากจัง!”

ความเร็วรถที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นฮั่วหลิงเยว่จนตื่นเต้นร้องขึ้นมา “เร็ว! ขับไปข้างเขาเลย ฉันอยากดูหน่อยว่าสรุปแล้วเป็นใครมันใจกล้าบ้าบิ่นมาขับแซงพวกเราไป!”

ถึงแม้ฮั่วหลิงเยว่ไม่บอก ฮั่วเยี่ยนจือก็มีความคิดแบบเดียวกัน ตอนนี้จึงเหยียบคันเร่งลง กระโดดมาถึงด้านข้างของลัมโบร์กีนี ก่อนจะจ้องมองเข้าไปยังในรถ......

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่