ซึ่งต่างจากสถานการณ์ในช่วงเช้า เพราะในเวลานี้มีหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่อยู่บนเวที แม้จะดูธรรมดา แต่มันก็เป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยไม่ใช่หรือ?
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ผู้ชมของการแข่งขันก็เพิ่มมากขึ้น นอกจากเหล่าผู้แข่งขันที่ได้รับอาการสาหัสในช่วงเช้าและจำเป็นต้องพักรักษาอาการอยู่บนเตียงแล้ว คนอื่นๆ แม้แต่เชฟของกองทัพต่างก็พากันมาที่สนามแข่งกันหมด
เพราะการแข่งขันในรอบถัดไปจะเป็นรอบรองชนะเลิศ ไม่มีใครอยากพลาดแมตช์ที่น่าตื่นเต้นนี้แน่นอน
“ตอนเช้าพวกคุณไปไหนกันหมด?”
กระทั่งเวลานี้ เย่เทียนเพิ่งเห็นฉินชิงหู่ทั้งสี่คนที่หายตัวไปตั้งแต่เช้า
“เราไปดื่มชากับท่านถังมาน่ะสิ!”
จี้เยียนหรันยิ้มอธิบายว่า “ตอนที่คุณขึ้นเวทีในช่วงเช้า เราบังเอิญเจอท่านถังพวกเขา ท่านถังก็เลยบอกเราว่าการแข่งขันในช่วงเช้าไม่สนุก ให้เราไปดื่มชาด้วยกันก่อน”
“หืม?!”
เย่เทียนถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าถังเหวินหลงพูดถูก เพราะตอนเช้าเขาไม่เห็นคนที่มีฝีมือจริงๆ หรือบอกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ไม่สูสีกันเลย จึงไม่เป็นที่น่าสนใจของผู้ชม
และในเวลานี้ ซ่านหงเลี่ยงได้ขึ้นเวทีอีกครั้ง เขายืนอยู่ตรงกลางเวทีแล้วกดมือลงไปด้านล่าง ดวงตาขุ่นมัวของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง และได้กวาดมองไปทั่วฝูงชนอย่างละเอียด
“ทุกท่านครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกคุณคือเสาหลักของประเทศจีนของเรา เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญสำหรับอนาคตของประเทศเรา และต่อจากนี้ เราจะเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และผมหวังว่าทุกท่านจะจริงจังกับมัน!”
“ผมจะไม่พูดให้เสียเวลามากไปกว่านี้ และในรอบที่สองนี้ เราจะตามกฎในรอบแรกของเราโดยการจับสลากเพื่อจับคู่ต่อสู้กัน!”
หลังจากพูดจบ ซ่านหงเลี่ยงก็โบกมือไปยังด้านล่างเวที และทันใดนั้นก็มีพนักงานที่เตรียมตัวตั้งแต่แรกและถือกล่องไม้ขนาดเล็กเดินขึ้นไปบนเวที
เนื่องจากเคยมีประสบการณ์กันแล้ว สิบหกคนที่ผ่านเข้ารอบต่อไปจึงขึ้นไปจับฉลากกันทีละคน ส่วนเย่เทียนที่ได้ป้ายรหัสมาก็เหลือบมองลงไปและเห็นเลข ‘สาม’ ขนาดใหญ่เขียนอยู่!
หลังจากเย่เทียนมอบมันกลับไปให้กับพนักงาน หน้าจอขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังซ่านหงเลี่ยงก็แสดงภาพขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าคนที่จับฉลากไปก่อนหน้านี้ก็มีชื่อขึ้นที่หน้าเจอไปแล้ว
คนต่อไปจากเย่เทียนก็คือเย่หย่งหง พวกเขาที่เคยมีเรื่องกันแล้วก็ได้เดินสวนกันอย่างเฉียดฉิว และเย่หย่งหงยังไม่ลืมที่จะมองไปที่เย่เทียนอย่างเย็นชา จากนั้นยื่นมือออกไปหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา
“แมร๊งเอ๊ย ไอ้สารเลวเย่หย่งหง อย่าให้ได้เจอกูนะ มึงฟันร่วงหมดปากแน่!”
หลังจากเย่เทียนเดินลงจากเวที เซวหมานจื่อก็มองไปที่เย่หย่งหงบนเวทีด้วยความโกรธ และสองมือก็ประสานกันแน่นๆ
ถึงอย่างนั้น เย่หย่งหงก็หยิบการ์ดหมายเลขออกมาอย่างรวดเร็ว และหน้าเจอก็แสดงภาพออกมา
“หมายเลขห้า! ไอ้หมอนั้นมันได้หมายเลขห้า! เหมือนกับเรา!”
เซวหมานจื่อที่เห็นแบบนี้ก็ดีใจจนแทบบ้า เขาไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญได้เจอกับเย่หย่งหงจริงๆ
แม้จะรู้สึกแบบนี้ แต่ดวงตาขนาดเท่าระฆังทองแดงของเซวหมานจื่อก็เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม และเขาก็เชื่อว่าเย่หย่งหงไม่กล้าประมาทในตัวเขาอย่างแน่นอน!
ไม่เพียงเท่านี้ ฉินชิงหู่และคนอื่นๆ ต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม โดยเฉพาะจี้เยียนหรันก็ยิ่งบีบชายเสื้อของเย่เทียนไว้แน่นๆ
ครอบครัวตระกูลเย่นั้นไม่ได้เก่งในด้านธุรกิจอย่าเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นตระกูลที่สร้างตัวด้วยวิชาการต่อสู้ และเย่หย่งหงก็เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน!
ยกตัวอย่างง่ายๆ สี่แมตช์ในช่วงเช้า นอกจากแมตช์แรกกับแมตช์ที่สี่ คู่ต่อสู้ของเย่หย่งหงทั้งสองคนนั้นแทบจะแพ้ทันทีหลังจากขึ้นไปบนลานประลอง ซึ่งเห็นได้จัดว่าชื่อเสียงของเย่หย่งหงนั้นไม่ได้ดังด้วยความบังเอิญเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่