ถึงช่วงเช้าจะเคยสังเกตการต่อสู้ของเย่หย่งหงมาแล้ว แต่เย่หย่งหงก็แสดงฝีมือออกมาน้อยเกินไป เย่เทียนจึงมองสภาพจริงๆ ของเขาไม่ออก แต่การที่เย่หย่งหงสามารถทำตัวยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องไม่ได้เป็นคนที่มีดีแค่ชื่ออย่างแน่นอน
หันมองมาที่เซวหมานจื่อ มือข้างหนึ่งที่วิชาวัชระร่างป้องกันสกิลเทพมีการป้องกันที่น่าตกใจ แต่ยังไงก็ฝึกฝนยังไม่ถึงขั้นสูงสุด บวกกับไม่มีทางโจมตีที่ใช้การได้จริงๆ จึงทำได้แค่ตั้งรับอย่างเดียว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องถูกเย่หย่งหงจัดการได้อย่างแน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนก็เริ่มกังวลขึ้นมา พอเห็นพี่น้องตระกูลเย่ได้จากไปแล้ว เย่เทียนจึงหันมาเตือนหมานนจื่อว่า “หมานจื่อ ระวังตัวหน่อย ถ้าจบศึกได้ก็รีบจบเลย ถ้าปล่อยให้นานไป มีแต่จะส่งผลเสียกับคุณ!”
“เย่เทียน คุณไม่ต้องห่วง! ผมรู้ว่าต้องทำยังไง!”
เซวหมานจื่อพยักหน้าอย่างจริงจัง เขาเองก็รู้ดีว่าเย่หย่งหงไม่ธรรมดา แล้วเขาจะไปกล้าทำตัวโอ้อวดได้ยังไง?
ผ่านไปไม่นาน สิบหกคนในการต่อสู้ที่สูงไปอีกขั้นของรอบต่อไปก็ได้ชูป้ายขึ้นมา เพื่อยืนยันคู่ต่อสู้ของแต่ละคน
“ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งหกท่านที่จับได้เลขหนี่งสองและสามเข้าสู้ลานด้วยครับ!”
มันต่างจากสถานการณ์เมื่อเช้าไปหน่อยหนึ่ง เนื่องจากตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันอีกแค่สิบหกคน ดังนั้นจึงเปิดลานประลองแค่สามเวลาเท่านั้น
“หมานจื่อ ผมไปก่อนนะ!”
ถึงเย่เทียนจะเป็นห่วงเซวหมานจื่อ แต่ก็ยังค่อยๆ เดินเข้าไปในลานประลอง และแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่าจะต้องจบการแข่งให้เร็วที่สุด!
ไม่รู้ทำไม ในใจของเขาแอบรู้สึกว่า เย่หย่งหงต้องไม่ยอมจบศึกในครั้งนี้ไปง่ายๆ!
ในโซนผู้ชม ผางติ้งกั๋วยืนรออยู่ข้างๆ หยวนเข่อเหวย จ้องมองเย่เทียนที่กำลังเดินเข้าลานประลองด้วยสายตาที่สนใจ ยื่นมือไปตบๆ ที่ไหล่ของหยวนเข่อเหวย “น้องชาย ไม่นึกเลยว่าคนที่ชื่อเย่เทียนนั่นจะเข้ามาถึงรอบสิบหกคนได้ ดูท่าเขาจะไม่ธรรมดาจริงๆ ครั้งนี้คงต้องรบกวนคุณแล้ว!”
ระหว่างที่พูด เห็นได้ชัดว่าผางติ้งกั๋วเชื่อมั่นในตัวหยวนเข่อเหวยมากแค่ไหน เขาคิดว่าเย่เทียนไม่มีทางสู้ หยวนเข่อเหวยได้อย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรครับ”
หยวนเข่อเหวยยิ้มๆ จ้องมองไปยังแผ่นหลังของเย่เทียนด้วยสายตาที่ดุร้าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ระหว่างเราสองคนคุณจะมาเกรงใจขนาดนี้ทำไม น้องชายของคุณก็คือน้องชายของผม ไอ้เย่เทียนนั่นมันกล้าทำร้านอานคางต่อให้มันจะเป็นคนของตระกูลเย่ ยังไงความแค้นในครั้งนี้ผมก็ต้องชำระให้อานคางแน่นอน!”
เย่เทียนที่เดินเข้าไปในลานประลองนั้นไม่รู้เลยว่าผางติ้งกั๋วกับหยวนเข่อเหวยกำลังพูดถึงตนอยู่ เขายืนสงบอยู่กลางลานประลอง หรี่ตามองไปยังคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
คนตรงหน้าคือชายฉกรรจ์ที่สูงร้อยแปดสิบ อายุน่าจะประมาณยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด ส่วนคอที่เผยออกมามีรอยแผลเป็นจากมีด ถ้าโดนสูงขึ้นไปอีกไม่กี่เซนเขาก็น่าจะจบชีวิตไปแล้ว บ่งบอกว่าเคยผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาแล้ว
ชายฉกรรจ์คนนี้ชื่อ เจี่ยเฉิง เป็นคนเก่งที่มาจากเขตทหารอื่น ในกองทัพของทั่วประเทศก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงอยู่ เป็นคนที่ค่อนข้างชอบความรุนแรง
“ห้ามใช้อาวุธ! ห้ามฆ่าคู่ต่อสู้! เริ่มการแข่งขันได้ ณ บัดนี้!”
พอกรรมการพูดจบ เจี่ยเฉิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มทำการเคลื่อนไหวทันที ขยับเท้า แล้วพุ่งใส่เย่เทียนอย่างรวดเร็วราวกับเสือชีตาที่กันดารที่โกรธเกรี้ยว พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าของเย่เทียนแล้ว
ดวงตาสีดำคู่นั้นของเย่เทียนมีแสงแวบหนึ่งวิ่งผ่าน สมกับเป็นคนที่สามารถเข้าสู้รอบลึกแบบนี้ได้ แค่ความเร็วนี้ ก็ดูถูกไม่ได้แล้ว!
อย่างไรก็ตาม เพียงการเคลื่อนไหวนั้น ก็ทำให้เจี่ยเฉิงมีโอกาสได้ลงมือก่อนแล้ว ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงวิเขาก็ชกใส่เย่เทียนไปหลายหมัด
กำปั้นของเขาราวกับสามารถทำลายมิติ เกิดเสียงแหวกอากาศที่เสียงดังขึ้น พุ่งใส่ใบหน้าของเย่เทียนราวกับพายุที่บ้าคลั่ง
เย่เทียนยิ้มเยาะออกมาที่มุมปาก ไม่ได้แสดงสีหน้าที่หวาดหวั่นออกมาแม้แต่น้อย บิดขาเล็กน้อย เหมือนจะอันตรายแต่ในความเป็นจริงกลับสามารถหลบการโจมตีของเจี่ยเฉิงได้ทั้งหมด
วินาทีต่อมา อาศัยตอนที่เจี่ยเฉิงยังไม่ทันได้ตั้งตัว เย่เทียนก็ได้เตะสวนกลับไป
ในการประลองเมื่อเช้า เย่เทียนก็ได้ดูการต่อสู้ของเจี่ยเฉิงมาคร่าวๆ แล้ว รู้ว่าชายคนนี้มีการโจมตีจากมือที่ร้ายกาจมาก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่