เฉินเสียนขมวดคิ้วเข้าหากัน เฮ่อโยวเจ้าเด็กนี่ไม่สามารถที่จะเขียนลงลายละเอียดได้แบบนี้ แม้แต่เรื่องที่ซูเจ๋อกับเธอนั่งรถม้าด้วยกัน ตอนกลางคืนนำพรมจากรถม้าออกมา ยิ่งกว่านั้นตอนที่เธอกำลังล้างเท้าก็มีปรากฏอยู่ ถูกเขาเขียนบรรยายให้ทุกคนได้รับรู้อย่างดี เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่นั้นเป็นการเขียนกล่าวหาที่เขาดูหมิ่นไม่เคารพองค์หญิง ประพฤติตัวไม่ดี ประพฤติตัวหยาบคายและอื่นๆ
ส่วนเรื่องอื่นก็มีคืนที่เร่งการเดินทาง วิ่งจนม้าตายไปไม่กี่ตัว ทำให้ต้องทิ้งกองทหารองครักษ์ไว้ข้างหลัง ทั้งหมดนี่ถูกเฮ่อโยวกลับพูดให้กลายเป็นว่าเขาไม่เป็นห่วงใยดีผู้ใต้บังคับบัญชาแม้แต่เล็กน้อย!ไม่รักชีวิตสัตว์เลี้ยงเลยแม้แต่น้อย!ไม่มีแม้แต่ความเมตตา!
เฉินเสียนกระตุกมุมปากหันไปทางเฮ่อโยว พูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า“ซูเจ๋อทำให้เจ้าไม่สบายใจขนาดนั้นเลย?”
เฮ่อโยวพูด “ท่านอย่าพูดว่านี่เป็นความแค้นส่วนตัวนะ ข้าก็เป็นคนแบบนี้ ข้าก็พูดตามความเป็นจริง ไม่ได้ใส่ร้ายเขาแม้แต่นิดเดียว”
เฉินเสียน“แต่เจ้าใช้วิธีการพูดที่เกินจริง”
“ท่านก็คิดว่าข้าเขียนบรรยายได้ดีมากใช่หรือไม่ ” เฮ่อโยวพูดอย่างพอใจ
เฉินเสียนหยิบจดหมายของเขาฉีกให้เป็นเศษกระดาษ “ดีกับผีนะสิ องค์ประกอบการเขียนเรียงความไม่ผ่าน เขียนใหม่”
เฮ่อโยวอยากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ่งแล้วว่า เมื่อครู่ชิงซิ่งจะรู้สึกอย่างไร
เฉินเสียนเอาพู่กันไปจุ่มในน้ำหมึกใหม่แล้วยัดใส่มือเขา พูดด้วยเสียงต่ำอย่างเงียบว่า “เรื่องเร่งการเดินนั้นสามารถเขียนได้ เขียนแค่พอประมาณ แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือเกี่ยวความสัมพันธ์ของซูเจ๋อกับข้าไม่ต้องเขียน”
เฮ่อโยวพูด “เขาไม่เคารพต่อท่านนะ ทำไมถึงจะเขียนไม่ได้?”
“เจ้าเขียนตามที่ข้าบอกก็พอ ”เฉินเสียนปัดเสื้อแล้วนั่งลงไปประจำที่ข้างเขา นิ้วเคาะไปบนขอบโต๊ะ “เฮ่อโยว เจ้าจำไว้นะ ข้ากับซูเจ๋อ ไม่สามารถเขียนให้อยู่ในประโยคเดียวกันในเวลาพร้อมกันได้ เจ้าเขียนเกี่ยวกับข้าก็เขียนไป เจ้าเขียนเกี่ยวกับเขาก็เขียนไป”
เฮ่อโยวพูด “ข้าไม่ฟ้องท่าน ข้าไม่ฟ้องเขา”
“เจ้าก็ฟ้องว่าเขาเป็นคนไม่ห่วงใยกับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่รักชีวิตสัตว์ และอื่นๆอีกมายตามที่เจ้าว่า” เฉินเสียนคุยกับเขาจริงจัง “แต่เจ้าไม่สามารถเขียนฟ้องว่าเขาอยู่ใกล้กับข้าแค่ไหน อีกอย่างสิ่งต่างๆที่เขาทำมากมายอาจจะทำให้เขาได้รับการลงโทษอย่างหนัก”
เฮ่อโยวใช้เวลานานโดยไม่ได้ตอบ จริงๆแล้วก็ไม่ใส่ใจอะไรกับซูเจ๋อ แต่เขากับเฉินเสียนอยู่ด้วยกัน ไม่สามารถที่จะไม่ใส่ใจซูเจ๋อได้
เมื่อตอนที่ซูเจ๋อค่อยๆออกมาจากประตูเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น คำพูดเฉินเสียนนั้นไม่มีคำไหนที่จะไม่เล็ดลอดเข้าหูเขาได้
เฉินเสียนพยายามกดเสียงให้ต่ำลง ไม่ว่าอย่างไรพลังการได้ยินของซูเจ๋อนั้นล้ำเลิศ
เฮ่อโยวถามว่า “ทำไม?”
“ไม่มีคำว่าทำไม ข้าไม่อนุญาตให้เขียน”
เฮ่อโยวเห็นสายตาเฉินเสียนที่ยืนหยัด แล้วพูดว่า “มองแบบนี้ท่านคงเป็นห่วงเขามาก เขาก็เป็นห่วงท่านมาก แต่ถ้าปล่อยโอกาสที่จะลงโทษเขาไป ข้ารู้สึกว่ามันน่าเสียดาย”
เฉินเสียนพูดอย่างไม่แก้ตัวว่า “เจ้าอยากให้เขาโดนลงโทษ นั้นก็อาจจะทำร้ายข้าได้”
เฮ่อโยวหยุดเขียนพู่กันชั่วคราว แล้วพูดอย่างอึดอัดว่า“ได้ ข้าฟังท่าน ท่านพูดอะไรข้าก็จะเขียนแบบนั้น!”
เฉินเสียนหรี่ตาแล้วยิ้มขึ้นมา เอามือขึ้นมาเกาะที่ไหล่ของเฮ่อโยวแล้วพูดว่า“ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของข้า”
ดังนั้นจดหมายฉบับนี้เฮ่อโยวเป็นผู้เขียนบท เฉินเสียนที่อยู่ข้างๆคอยชี้แนะ เฉินเสียนแนะนำให้เขา เขียนเกี่ยวกับบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละวันอย่างคร่าวๆ เรื่องเล็กๆน้อยก็ให้เขาเขียนตามที่เขาอยากขยายความ ส่วนเรื่องซูเจ๋อและเฉินเสียนที่ใช้รถม้าร่วมกัน ก็ไม่ได้กล่าวถึงอะไรมาก
ช่วงสุดท้ายของจดหมาย ก็เขียนเรื่องเล็กๆน้อยๆให้ครบถ้วน
เฮ่อโยวกำลังเขียนด้วยความคิดที่กำลังพุ่งออกมาเหมือนน้ำพุ เฉินเสียนสะกิดไปที่ข้างๆเขาทันทีแล้วถามว่า “เมื่อตอนพลบค่ำที่เจ้าว่าซูเจ๋อยังมีเรื่องที่ยังพูดไม่จบ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามา ว่ามันคือเรื่องอะไร?”
ซูเจ๋อพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าเฮ่อโยวนั้นเป็นคนใสสื่อบริสุทธิ์
เมื่อได้ยินเฉินเสียนถาม ซูเจ๋อที่ยืนอยู่ราวบันไดก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่เงียบ
เฮ่อโยวจะต่อต้านการสั่นไหวของเฉินเสียนได้อย่างไร
เมื่อตอนบ่ายนั้นเฮ่อโยวพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เฉินเสียนนั้นฟังอย่างตั้งใจ จำได้อย่างขึ้นใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...