แม่ทัพโฮ้วพูดด้วยความโกรธเคือง:“เย่เหลียงคิดว่าจะเปิดสงครามจริงหรือ?!เช่นนั้นข้าจะรับใช้ต้าฉู่อย่างสุดกำลังแน่นอน!”
หลังจากที่แม่ทัพโฮ้วยกแขนขึ้นตะโกนออกมา กองกำลังทหารต้าฉู่ด้านหลังก็ยกธงรบขึ้นมาโบก พร้อมส่งเสียงคำรามเสียงดัง
สถานการณ์ของฝั่งเย่เหลียงก็พร้อมจะบุกเช่นกัน
แม่ทัพใหญ่เย่เหลียงกลับโบกมือออกคำสั่ง:“ส่งต่อคำสั่งไป ไม่ว่าผู้ใดห้ามลงมือบุ่มบ่าม!ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งต้องประหารชีวิต!”
ในเวลานั้นเขาส่งคนกลับไปรายงานให้จักรพรรดิเย่เหลียงทราบ องค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ที่นี่ องค์จักรพรรดิโปรดตัดสินพระทัย
แม่ทัพโฮ้วเห็นสถานการณ์แล้วถาม:“นี่สรุปว่าจะรบหรือว่าไม่รบ?”
ซูเจ๋อ:“ไม่รีบ สถานการณ์ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลง”
ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหนแล้ว ฝั่งเย่เหลียงมีคำสั่งมา:“จักรพรรดิมีคำสั่ง เชิญท่านทูตและองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมืองเพื่อเจรจาสงบศึก”
แม่ทัพโฮ้วรีบจัดหากลุ่มทหารคุ้มกันเพื่อพาไปส่ง
สุดท้ายฝั่งเย่เหลียงกลับบอก:“แค่ให้ท่านทูตและองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมือง จะพากลุ่มทหารคุ้มกันไปทำไมเล่า หลังจากเข้าไปในเมืองแล้วไม่ว่าจะมีทหารคุ้มกันมากแค่ไหนก็มิอาจช่วยอะไรได้ ว่าอย่างไร หรือพวกท่านมิกล้า? เช่นนั้นแล้วจะมาเจรจาสงบศึกอย่างจริงใจอะไรกัน?”
ซูเจ๋อพูดเบาๆ:“ข้าจะเข้าเมืองในทันที”
ในการเข้าไปในค่ายทหารของศัตรูโดยไม่มีผู้คุ้มกันนั้น เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูง ถ้าหากไม่ระวังเพียงนิด ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย
แม่ทัพโฮ้วจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร
ซูเจ๋อ:“ท่านแม่ทัพโฮ้วที่ท่านต้องทำมีเพียงแค่ดูแลเรื่องในทัพให้ดี และรอฟังข่าวดี” เขาเหลือบขึ้นมองทางกองกำลังทหารเย่เหลียง “เวลานี้ยังกล้ารับการเจรจา ก็เหมือนสำเร็จไปครึ่ง ท่านแม่ทัพมิต้องเป็นกังวล”
แม่ทัพโฮ้ว:“ข้าเข้าใจแล้ว ใต้เท้าซูต้องปกป้ององค์หญิงให้กลับมาอย่างปลอดภัยนะขอรับ
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ซูเจ๋อถึงหมุนตัวมองเฉินเสียน นัยน์ตาที่สีนิลเหมือนหมึกของเขายิ้ม “อาเสียนยังตื่นเต้นอยู่หรือไม่?”
เฉินเสียนได้สติกลับมา:“ท่านเอาข้าไปต่อรองอีกแล้ว?”
ซูเจ๋อพูดเสียงต่ำ:“ท่านวางใจเถอะ ครั้งนี้จะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว ถ้าต้องได้รับแค่จับดาบจับปืนก็ต้องมีคนเจ็บแล้วล่ะ แต่ข้าจะบังหน้าท่านไว้ก่อนเอง”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขา:“ไม่ใช่ว่าท่านลืมเรื่องนั้นแล้วหรือ ในเมื่อพูดแล้วว่าจะทำเรื่องเลวนี้ด้วยกัน เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ข้าก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าท่านจะใช้สามเมืองไปแลกกับความสันติของสองอาณาจักรนี้อย่างไร”
ซูเจ๋อ:“ใช้แค่สามเมืองจริงๆ ที่จริงข้าไม่ได้มีความมั่นใจอะไร”
เฉินเสียนกระตุกริมฝีปาก:“มาถึงขนาดนี้แล้วพึ่งจะมาพูด ท่านว่าสายไปหรือไม่? ดูแล้วครั้งนี้จะไปไม่กลับหรือไม่ ก็ต้องพึ่งท่านแล้วล่ะ”
ต่อให้ไปไม่กลับ เธอก็จะไปพร้อมกันกับซูเจ๋อ
เฉินเสียนไม่มีความกลัวเลยสักนิด เดินหน้าไปยังค่ายของศัตรู ซูเจ๋อเดินไปข้างๆเธอ ชายเสื้อของทั้งสองลอยพลิ้วขึ้นมาในอากาศ
เฉินเสียน:“ข้าเชื่อใจท่าน”
ด้านหลังยังมีเฮ่อโยวที่มุทะลุตามมาด้วย:“นี่ พวกเจ้าคิดจะทิ้งข้าหรือ รอข้าด้วย!”
“เฮ่อโยว เจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนใจ”
“น่าขำเสียจริง ข้า ข้าไม่รู้สึกฝืนใจเลยสักนิด!ในฐานะรองท่านทูต ข้าจำเป็นต้องมาเยือนเย่เหลียง ไม่เช่นนั้นคงลือกันได้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่ข้ากลับวิ่งหนี มันเสียหน้า!”
ทั้งสองทัพที่มีทหารแน่นขนัดกำลังตั้งค่ายสู้กัน เหมือนกับว่าโลกกำลังตัดทอนให้กลายเป็นสี่ทิศ
ทั้งสามคนที่เดินเข้าไป รายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็ไม่ควรมองข้าม
พอถึงหน้าค่ายเย่เหลียง แม่ทัพใหญ่เห็นว่ามีสามคน ก็ชี้เฮ่อโยวที่เกินมาแล้วถาม:“เขาคือผู้ใด?”
ซูเจ๋อพูดสั้นๆ:“รองท่านทูต”
สุดท้ายแม่ทัพใหญ่เย่เหลียงพูดออกมา:“การเจรจาสงบศึกไม่จำเป็นต้องมีรองท่านทูต ส่งกลับไป”
เฮ่อโยวคิดไม่ถึงเลยสักนิด เขาพกความมั่นใจนอกเหนือความคาดหมายเช่นความเป็นความตาย เข้ามาในค่ายศัตรูพร้อมกับเฉินเสียนและซูเจ๋อ แต่ไม่ทันได้ไปถึงฐานของเย่เหลียง ก็จะถูกส่งกลับไปแล้ว?
เฮ่อโยวไม่พอใจมาก:“พวกเจ้าดูหมิ่นรองท่านทูตกันขนาดนี้เลยหรือ?!”
เขายังอยากไปด้วย กลับถูกทหารสองสามนายถือดาบบังคับให้ถอยกลับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...