“มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังเป็นห่วงองค์จักรพรรดิอีกหรือ?”เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรในนี้ดีกว่า แล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น”
ฉินหรูเหลียงขยับปาก ไม่มีคำพูดออกมา ไม่ใช่แค่เขาเป็นห่วงแต่เป็นกังวลว่าองค์จักรพรรดิจะคิดอย่างไร
ตลอดเวลาที่อยู่มาจนถึงตอนเย็น เดิมทีคุกนั้นก็ไม่ค่อยจะสว่างอยู่แล้วก็ยิ่งมืดขึ้นไปอีก มีเพียงเปลวไฟไม่กี่กองที่จุดอยู่ระหว่างทางเดินนั้นอย่างโดดเดี่ยว
เฉินเสียนหิวแล้ว
เธอไม่เพียงแต่จะไม่เห็นอาหารสดใหม่มาส่ง แต่ขนาดข้าวเม็ดเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ผู้คุมเดินตรวจตรารอบสุดท้าย เห็นทุกคนยังอยู่ในคุก ประตูก็ถูกล๊อกอย่างดี จึงเตรียมเดินกลับไปงีบสักพัก
เฉินเสียนขมวดแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า อาหารหล่ะ?ข้ารอมาจนฟ้ามืดแล้ว ทำไมถึงยังไม่ส่งอาหารมาอีก?”
ผู้คุมพูด “พวกเจ้ามาใหม่ยังไม่เข้าใจกฎระเบียบสินะ วันแรกนั้นจะไม่มีข้าวกิน!”
เฉินเสียนแค่ฟังก็รู้โกรธทันที “ตั้งกฎเกณฑ์ห่วยแตกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร!”
ฉินหรูเหลียงที่อยู่ห้องข้างๆพูดขึ้นอย่างเงียบๆว่า “ตอนที่ข้ามาก็เป็นแบบนี้”
เฉินเสียนเดินไปยืนอยู่หน้าประตู ผู้คุมเดินออกไปอย่างไม่ทันได้ระวัง
เธอจึงถีบไปที่ประตูคุก ทำให้ประตูเหล็กเกิดเสียงดัง ผู้คุมเลยเกิดความตกใจ
ผู้คุมมีปฎิกิริยาต่อโต้ตอบกลับมา มองเห็นเฉินเสียนที่ไม่มีทางที่จะออกจากประตูคุกได้ จึงพูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า “เจ้าจะรุนแรงไปทำไม ไม่มีก็คือไม่มี! อย่าแม้แต่พูดว่าเจ้าอยากจะกินกับข้าวร้อนๆอาหารร้อนๆ อาหารบูดอาหารเน่าเสียก็ไม่มี! องค์จักรพรรดิมีรับสั่งลงมาแล้ว ให้พวกเจ้าอดข้าวกันไม่กี่วัน!”
สายตาของเฉินเสียนนั้นดูดุร้าย ผู้คุมพูดจบก็เร่งรีบเดินหายไป
เธอที่อยู่ด้านหลังยังพูดต่อว่า “ อย่าวิ่งหนีแบบบ้าคลั่งสิ กลัวว่าข้าจะเล่นงานเจ้านะสิ!”
ซูเจ๋อหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพูดว่า “อาเสียน เก็บแรงไว้หน่อย”
ครั้งนี้เฉินเสียนอึดอัดแล้วกลับไปนั่งลงที่เดิม เวลานี้สามต่างเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงประกายของไฟ
เฉินเสียนจึงเริ่มพูดขึ้นก่อนว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเจรจาสันติภาพเรื่องสามคูเมืองได้ ถ้าเย่เหลียงไม่ทำ เจ้าก็ยังมีวิธีอื่น”
พูดไปก็ชำเลืองมองไปที่ซูเจ๋อ “วาทศิลป์เจ้านั้นก็ดี เกลียดที่จะมีความสุข ไม่รู้วิธีที่จะต่อรอง?”
“เพียงแค่มาทันพูดถึงเงื่อนไข ไม่ใช่ไม่มีโอกาสที่จะเจรจาก็ถูกจับเสียก่อน” ซูเจ๋อพูด “เพียงแต่คนที่แค้นเคืองข้ายังดำเนินการอยู่”
เฉินเสียนเหลือบตามองบน “เจ้าหมายความว่าถ้าเจ้าทำให้พวกเขาทั้งหมดหลั่งน้ำตา ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสถานณ์ตอนนี้ของพวกเราได้”
เธอถามกลับซูเจ๋อ “แล้วตอนนี้พวกเราต้องทำอย่างไร?”
“รอ”
ภายนอกท้องฟ้าค่อยๆมืดสนิท ภายในคุกก็ยิ่งหนาว
เฉินเสียนนั้นสวมเสื้อของซูเจ๋อไว้อีกชั้นหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถต้านทานความหนาวเหน็บนั้นได้
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ฉินหรูเหลียงนั้นรู้สึกคุ้นเคยตั้งทีแรกแล้ว ซูเจ๋อเป็นคนมีวรยุทธ์ที่มั่นคงสามารถต้านทานกับความหนาวเหน็บได้ มีเพียงเฉินเสียนที่แม้แต่สวมเสื้ออย่างรัดแน่นแล้วยังไม่สามารถต้านทานความหนาวยะเยือกได้
แต่ก่อนเฉินเสียนก็ไม่ใช่คนที่กลัวหนาว เพียงแค่ลุกเดินลุกวิ่งเธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นแล้ว
อย่างไรก็ตามคืนนี้ไม่มีข้าวกิน เธอเดินไปเดินมาก็คงจะเสียแรง วิ่งก็คงจะวิ่งไม่ไหว
ในคุกที่มืดครึ้มและหนาวเย็นนั้นไม่ให้ข้าวกิน นี่มันเป็นการทรมานร่างกายคนกันชัดๆ!
ซูเจ๋อถามเฉินเสียนอย่างรอบคอบว่า “ขยับเข้ามาใกล้ๆ อยู่ใกล้ๆข้าอาจจะทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง”
เฉินเสียนขยับเข้าไปใกล้ ค่อยๆเอาหัวเอียงซบไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อจึงยืนมือไปโอบเอวด้านหลัง โอบกอดเฉินเสียนไว้แน่น คิดที่จะใช้ตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่นแก่นาง
เฉินเสียนหลับตาลง ประหนึ่งคล้ายกับอยู่บนตัวของซูเจ๋อ ทำให้ไม่ได้หนาวมากมายก็เพียงพอแล้ว
ฉินหรูเหลียงพูด “เจ้าไม่ควรเข้าใกล้เธอ”
ซูเจ๋อเพียงแค่ยกตัวขึ้นเบาๆแล้วพูดว่า “หรือว่าจะให้เธอหนาวตายกัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...