เฉินเสียนได้ยินเรื่องสอดรู้สอดเห็นของหญิงสาวที่เป็นผู้ลี้ภัยครั้งสองครั้ง พูดไปพูดมาก็ไม่หนีฉินหรูเหลียงกับซูเจ๋อเลย เดิมอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว เลยยืนหยัดจนถึงตอนสุดท้ายโดยทันที
เวลาต่อมา หญิงสาวที่เป็นผู้ลี้ภัยน้อยคนที่จะไปให้ซูเจ๋อตรวจรักษาโรคให้ โดยพื้นฐานล้วนแล้วมาหาเฉินเสียน
หลังจากใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่นอกเมืองไม่กี่วัน แน่นอนว่าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำรู้ว่าองค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ด้านนอกเมือง ผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกเมืองก็ถูกจัดให้อยู่อย่างเหมาะสมชั่วคราว
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกลัวว่าผู้ลี้ภัยจะบีบบังคับเข้ามาในเมือง เพราะฉะนั้นเลยไม่กล้าเปิดประตูเมืองออก
แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะปิดกั้นองค์หญิงจิ้งเสียนให้อยู่ด้านนอกเมืองได้ตลอดไปเช่นกัน
อีกทั้งมีพระราชโองการเร่งด่วนจากเมืองหลวงต้องการให้องค์หญิงจิ้งเสียนกลับเข้าเมืองหลวงโดยทันที
เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้านนอกเมืองนับว่าสงบลงแล้ว วันนี้ปกติสุขดี หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำสีหน้าอิ่มเอิบอยู่บนศาลาบนประตูเมือง มองผู้ลี้ภัยจากด้านบนมาด้านล่าง และยังมีพวกเขาเฉินเสียนด้วย
พอผู้ลี้ภัยเห็นหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ ทันใดนั้นทั้งเกลียดชังทั้งจำใจไม่มีทางเลี่ยง อารมณ์เกิดปะทุขึ้นมาทันที เกิดเสียงประฌามขึ้น สั่งให้หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“ข้ารู้ว่าทุกคนอยู่ในภาวะลำบาก แต่ในเมืองของข้าก็มีอาณาประชาราษฎร์ไม่น้อย หากปล่อยให้พวกเจ้าเข้าไปแล้ว อาณาประชาราษฎร์ด้านในเมืองจะทำเยี่ยงไรเล่า?”
ผู้ลี้ภัยไม่พอใจด่าทอขึ้นว่า“พวกท่านเป็นขุนนางที่กินสินบน ขุนนางหมา เบียดบังผลประโยชน์ใส่ตัว ซ่อมเขื่อนราวกับกากเต้าหู้ ถึงได้ทำให้น้ำท่วมพังทลายเขื่อน ทำให้ทุกคนไม่มีเรือนให้กลับ!”
“ไม่เจียมตัว!ภัยธรรมชาติน้ำท่วม มนุษย์สามารถต้านทานได้ที่ไหนกันเล่า?!พวกเจ้าไม่ควรอ้างเหตุผลผิดหลักตรรกะหลอกผู้คน!”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวด่าด้วยความโมโหเกรี้ยวกราด แล้วรีบเปลี่ยนบทสนทนา กล่าวขึ้นว่า“ขอถามหน่อยองค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ที่ใดกัน?”
เฉินเสียนยืนอยู่เป็นผู้นำของผู้ลี้ภัย กล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมีสิ่งใดที่จะแนะนำหรือ?”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมองลงมาด้านล่างอย่างละเอียด พบว่าหญิงผู้ที่มีผิวขาวละมุน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนั่น เลยกล่าวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า“กระหม่อมสามารถเปิดประตูเมือง ต้อนรับองค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมืองได้ แต่ว่าบุคคลอื่นเข้าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขำขันกล่าวขึ้นว่า“บุคคลอื่นคือคนไหนกันเล่า?”
เธอชี้ไปที่บุคคลที่อยู่ข้างกายตัวเอง แล้วกล่าวอีกว่า“ท่านนี้คือแม่ทัพใหญ่ของต้าฉู่ ท่านนี้คือทูตที่ราชสำนักแต่งตั้งมา ยังมีท่านนี้ที่เป็นรองท่านทูต และเหล่านี้คือทหารใหม่ ความหมายของใต้เท้าคือพวกเขาก็ล้วนเข้าไปไม่ได้ใช่หรือไม่?”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำฟังที่เฉินเสียนรายงานยศถาบรรดาศักดิ์ ต่อให้การเตรียมล่วงหน้ากับคนของราชสำนักเหล่านี้ไม่ได้มีการรวบรวมอะไรไว้ด้วยกัน ตัดทหารใหม่เหล่านั้นออกไป ไม่ว่าผู้ใดโดยภายนอกแล้วเขาล้วนไม่กล้าทำให้ไม่พอใจ
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“บุคคลอื่นแน่นอนว่าเป็นผู้ลี้ภัยเหล่านั้น ที่เดินทางมาร่วมกันองค์หญิงสามารถเข้าเมืองได้อย่างราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ”
พอกล่าวออกมา แน่นอนว่าผู้ลี้ภัยไม่ยินยอม
พวกเขาไม่สามารถเบิกตามององค์หญิงจิ้งเสียนเข้าเมืองได้ เพียงแค่องค์หญิงจิ้งเสียนไป เช่นนั้นหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยิ่งไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง
ถึงเวลานั้นพวกเขาต้องหิวโซและหนาวตาย
ผู้ลี้ภัยอยู่ด้านล่างอารมณ์วู่วามด่าทอว่า“ท่านเป็นขุนนางหมาเห็นชีวิตผู้คนเป็นวัชพืช !ไม่ช้าก็เร็วท่านต้องถูกเบื้องบนลงโทษ!”
จะคิดที่ไหนกันเล่าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำมีการเตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว ตอนที่ผู้ลี้ภัยด่าทอไม่หยุด ศาลาบนประตูเมืองปรากฏมือธนูหนึ่งแถวและก็อีกหนึ่งแถวเรียงรายอยู่ ลูกธนูอยู่ที่สายธนูแล้ว เตรียมยิงที่ต้นตอของเรื่อง ได้ตลอดเวลา
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวขึ้นว่า“ใครยังกล้าบ้าตำหนิใสร้ายข้าอีก อย่ามาโทษว่าข้าออกคำสั่งยิงธนู!”
เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตระหนกทันที เสียงด่าทอเลยค่อยๆหยุดลง
เฉินเสียนหรี่ตามอง เงยหน้าขึ้นมองหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำที่พึงพอใจอยู่ด้านบนศาลาประตูเมือง แล้วกล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้าสง่าน่าเกรงขามเสียจริงนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...