หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำชำเลืองมองซูเจ๋อ แล้วกล่าวถามว่า“ท่านนี้เป็นทูตที่ได้รับพระราชบัญชาจากองค์จักรพรรดิให้เดินทางไปเย่เหลียงเพื่อเจรจาสันติภาพสินะ”
ซูเจ๋อประสานมือคารวะกับเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า“ขอคารวะใต้เท้าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าวอย่างสงวนท่าทีว่า“ตอนนี้แม่ทัพฉินยังอยู่นอกประตูเมืองสินะ องค์หญิงพาคนเข้ามาผิดแล้วหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หากว่าเขาจำไม่ผิด องค์หญิงผู้นี้กับแม่ทัพฉินนั่นสิเป็นคู่กัน
เฉินเสียนสีหน้าไม่เปลี่ยนกล่าวขึ้นว่า “หากไม่มีแม่ทัพฉินอยู่ด้านนอกคอยปลอบขวัญผู้ลี้ภัยหรือว่าใต้เท้ายังหวังให้ผู้ลี้ภัยด้านนอกก่อจลาจล?แม่ทัพฉินคุ้นเคยกับสนามรบอย่างนั้น ดังนั้นมอบให้เขาปลอบประโลม เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ”หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกล่าว “เช่นนั้นกระหม่อมพาองค์หญิงไปพักก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อกับเฉินเสียนเดินตามหลังหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ เวลาต่อมามีที่ปรึกษาขุนนางของที่ทำการปกครองเมืองกับขุนนางในเมืองคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งรีบมาร่วมต้อนรับ
เฉินเสียนอ่อนเพลียกับการรับมือการเล่นสนุกบางครั้งบางคราวเหล่านี้ เพียงกล่าวประโยคหนึ่งก็เหนื่อยแล้ว เลยสั่งให้หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำพาเธอกับซูเจ๋อไปพักโดยฉับพลัน
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำได้จัดเตรียมสถานที่พักรับรองหนึ่งหลัง ด้านในบรรยากาศสงบ มีเด็กสาวรับใช้ที่ยังไม่โตและสิ่งที่ควรมีได้มีพร้อมทุกอย่าง
ทั้งหมดนี้ไม่คล้ายกับสิ่งที่เวลามีความอดอยากขาดแคลนควรจะมีเลยนะ
หลังจากเข้ามาที่นี่แล้วคล้ายดั่งเรื่องราวที่เกิดด้านนอกทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทั้งหมดราวกับเข้ามาอีกสถานที่หนึ่งเลย
ขนาดสถานที่พักรับรองนี้ยังไม่มีผลกระทบจากการเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัยอดอยากขาดแคลนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรือนของหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำกับเหล่าขุนนางพวกนั้นเลย
ก่อนที่หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำจะออกไปได้กล่าวขึ้นว่า“องค์หญิงพักผ่อนสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ ตอนเย็นกระหม่อมจะจัดงานเลี้ยง เป็นการต้อนรับองค์หญิง ขอองค์หญิงได้โปรดให้เกียรติร่วมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนไม่ปริปากพูด
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำยิ้มประจบสอพลอกล่าวอีกว่า“พอดีกับสองวันก่อนหน้าในเมืองหลวงมีพระราชโองการมา ขอเชิญองค์หญิงรับพระราชโองการที่งานเลี้ยงเย็นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วขึ้น แววตาฉลาดหลักแหลมมองหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำ ราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า“นี่เป็นเรื่องใหญ่สำคัญ ข้าต้องไปอย่างแน่นอน ”
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า“กระหม่อมจะรอเรื่องดีๆขององค์หญิงจิ้งเสียนอย่างสงบพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบแล้วเขาก็ยกหางตา หลังจากชำเลืองมองเฉินเสียนอย่างรวดเร็วแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
เฉินเสียนสวมใส่ชุดสามัญชน ผมยาวสลวยถึงเอว สวมใส่ไม่ล้ำค่าเลยสักนิดหนึ่ง กลับกันช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของอาณาประชาราษฎร์คนธรรมดา การสวมใส่แต่งกายล้วนธรรมดาทั่วไปมาก
บนศีรษะของเธอสวมดอกปิ่นหยกหนึ่งด้าม บริเวณเอวเพียงแค่ประดับตกแต่งขลุ่ยไม้ไผ่ แต่ผิวขาวผ่องกับคิ้วตาสีเข็มและอ่อนนั้นเข้ากันอย่างสะอาดหมดจด ได้ทำให้คนไตร่ตรองความสวยงามอย่างละเอียด
เธอกับซูเจ๋อเหมือนกัน ประสบการณ์ยิ่งมาก ต่อหน้าผู้คนก็สามารถปกปิดได้ดี แววตาก็ยิ่งเรียบเฉย เพียงแต่บางเวลาเผยให้เห็นสิ่งที่ยากจะคาดคะเนได้
เพียงแต่เธอนำความสง่างามกับความหยิ่งยโสนั้นเผยให้เห็นภายนอกและภายใน และความสวยงามที่คนพิจารณาอย่างละเอียดนั้นรวมเข้าด้วยกัน การเคลื่อนไหวที่เพียบพร้อมดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นอย่างมาก
หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำออกไปได้ไม่นาน ก็มีสาวใช้ส่งชุดกับเครื่องประดับเข้ามาในจวน ถอนสายบัวทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้นว่า“บ่าวเข้าพบองค์หญิงจิ้งเสียนเพคะ นี่คือชุดและเครื่องประดับที่ใต้เท้าหน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำเตรียมให้องค์หญิงสวมใส่ในงานเลี้ยงเย็นนี้เป็นพิเศษเพคะ ขอเชิญองค์หญิงรับด้วยเพคะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นชุดสีแดงที่สาวใช้ถือด้วยสองมือ แล้วกล่าวขึ้นว่า“ใต้เท้ามีความตั้งใจเสียจริง ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของข้าผู้คนไม่ให้ความสำคัญเคารพในสถานที่สูงส่งนั้นอย่างแท้จริง”
ทันทีหลังจากนั้นสาวใช้ได้นำชุดและเครื่องประดับเข้าไปในห้อง อีกทั้งเข้าไปในเรือนจัดเตรียมเครื่องเทศหอมห้าชนิดในห้องน้ำ
ถึงแม้ว่าซูเจ๋ออยู่ด้วยกันกับเฉินเสียน แต่ทว่าเขาไม่ใช่บุคคลที่หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำจะให้การต้อนรับอย่างดี หน่วยคุ้มกันเมืองและทางน้ำไม่ได้มีความสนิทคุ้นเคยกับเขา เพียงแค่คิดว่าเขาเป็นขุนนางที่ไม่มีจุดแข็งข้อได้เปรียบที่คอยตามติดตัว
ด้วยเหตุนี้เลยต้อนรับเขาไม่ได้ละเอียดถี่ถ้วนเหมือนกับต้อนรับเฉินเสียน
เฉินเสียนที่อยู่ด้านนั้นรอบล้อมไปด้วยสาวใช้กลุ่มหนึ่ง และซูเจ๋อด้านนี้มีเพียงแค่ส่งสาวใช้มาคนเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...