แต่หลิ่วเหมยอู่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเขา ถึงแม้จะมองลักษณะของเขาได้ไม่ชัดเจน หลิ่วเหมยอู่ก็สามารถรับรู้ได้จากความคุ้นเคย ว่านั่นเป็นพี่ชายของนางแน่ๆ
เวลานี้ ผู้พิพากษาได้ยืนต่อหน้าราษฎรประกาศความผิดของหลิ่วเฉียนเฮ้อ ทีละประการอย่างชัดเจน
เมื่อถึงเวลาประหาร ดวงอาทิตย์ตั้งตรงเหนือหัว
เฉินเสียนหยีตามองท้องฟ้า แสงสีขาวสะท้อนโดนดวงตา ราวกับว่าเป็นแสงของเกล็ดหิมะก็ไม่ปาน
ฉินหรูเหลียงลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนอยู่หน้ากรง ยืนยันอีกครั้งว่าคนที่อยู่ในกรงขังที่สกปรกรุงรังและเหม็นเน่านั้นเป็นหลิ่วเฉียนเฮ้อจริงๆ จึงค่อยกลับไปยังที่นั่งผู้พิพากษา หยิบแผ่นป้ายสั่งการ หมุนตัวแล้วโยนมันลงสู่พื้น ตะโกนสั่งการว่า : "ประหาร"
ม้าทั้งห้าตัวถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว
เชือกทั้งห้าเส้นถูกผูกตามแขนขาและศีรษะของหลิ่วเฉียนเฮ้อ รอเพียงแค่ทหารจูงม้าให้เดินหน้า ให้หลิ่วเฉียนเฮ้อได้สัมผัสถึงความรู้สึกเจ็บปวดขั้นสุดขีดของชิ้นส่วนร่างกายทั้งห้าที่ถูกแยกออกจากกัน
หลิ่วเหมยอู่เริ่มยืนไม่นิ่ง ร่างกายสั่นสะท้าน ขาทั้งคู่อ่อนแรงจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น
เฉินเสียนรีบคว้าตัวนางไว้ กระซิบเสียงเบาข้างหูเธอว่า : "เหมยอู่ เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพทำการใดก็มักจะระมัดระวังและรอบคอบเสมอ เขายืนยันตัวตนของหลิ่วเฉียนเฮ้อแล้ว งั้นก็แสดงว่าคนที่อยู่ในกรงขังนั่นคือหลิ่วเฉียนเฮ้อไม่ผิดแน่ ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้เข้าไปดูเขาที่ลาน ก็ดูเขาจากตรงนี้ก็ยังดี"
ม้าทั้งห้าตัวเริ่มเคลื่อนที่ หลิ่วเหมยอู่อยากจะผลักทหารออกแล้ววิ่งเข้าไปที่แท่นประหาร แต่ด้วยแรงที่มีอันน้อยนิดของนาง จึงไม่สามารถสะทกสะท้านทหารได้แม้แต่นิดเดียว
เชือกบนแท่นประหารเริ่มตึงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกหลิ่วเฉียนเฮ้อยังพอทนได้ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน
หลิ่วเหมยอู่ทนฟังไม่ได้และทนดูไม่ไหว จึงถอยกรูดไปเรื่อยๆ นางร้องไห้พร้อมกับพูดขึ้นว่า : "ข้าไม่ดูแล้ว......ไม่ดูแล้ว......ข้าจะกลับไป......"
แต่น่าเสียดายที่มาก็มาแล้ว เฉินเสียนจึงไม่ยอมปล่อยนางกลับไปง่ายๆ
เฉินเสียนคว้าตัวหลิ่วเหมยอู่ไว้โดยที่ไม่ต้องพยายามมาก ใช้มือประคองท้ายทอยของนางให้แหงนหน้าดูที่แท่นประหาร
เฉินเสียนพูดขึ้นข้างหูนางเบาๆ ว่า : "เหมยอู่ ถ้าตอนนี้ไม่ยอมดูละก็ ต่อไปเจ้าก็จะไม่มีโอกาสจะได้ดูอีก"
"ข้าไม่ดู......ข้าไม่อยากดู......" หลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า : "ข้ากลัว......"
หลิ่วเฉียนเฮ้อที่อยู่บนแท่นประหารร้องโอดโอยเสียงดัง หลิ่วเหมยอู่หลับตาแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
เวลานี้ราษฎรบางคนที่ทนดูต่อไม่ไหว บางคนหลับตา บางคนก็หันหน้าหนี
เฉินเสียนกำผมของหลิ่วเหมยอู่แน่น หลิ่วเหมยอู่ที่เจ็บจนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ฟังเฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า : "ตั้งแต่ราชอาณาเขตทางตอนใต้จนถึงเมืองหลวง ระยะการเดินทางที่สุดแสนจะไกล เจ้าคิดว่าเขาเก็บชีวิตของหลิ่วเฉียนเฮ้อกลับมาประหารถึงเมืองหลวงเพื่ออะไรกัน ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าได้เห็นหน้าเขาสักครั้งหรอกหรือ หากเจ้าไม่ดู เรื่องนี้ก็ทำไปโดยเปล่าประโยชน์เสียเปล่า"
"ทำไมท่านจะต้องให้ข้าดูให้ได้......ข้าขอร้องท่าน ปล่อยข้าไปเถอะ......"
หลิ่วเฉียนเฮ้อถูกเชือกทั้งห้าเส้นดึงจนตึงแน่น ร่างกายถูกตรึงอยู่กลางอากาศ
เมื่อหลิ่วเหมยอู่พูดจบ ม้าทั้งห้าก็ถูกแส้ของเหล่าทหารฟาดลงที่หลัง
เมื่อม้าเจ็บ จึงพากันเดินหน้าอย่างไม่ได้นัดหมาย
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องที่เจ็บของหลิ่วเฉียนเฮ้อก็หยุดลง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งแท่นประหาร น่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้
เหล่าราษฎรที่แออัดและหนาแน่นอยู่ด้านล่างนั่น ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างอนาถใจ
หลิ่วเหมยอู่ใบหน้าขาวซีดไร้ซึ่งเลือดฝาด เฉินเสียนค่อยๆ คลายมือออก นางก็ตัวอ่อนปวกเปียกไปในทันที
นางเห็นเลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลลงมาจากแท่นประหารกับตา ตอนนี้นางเหมือนกับร่างไร้วิญญาณที่ยังหลงเหลือความอบอุ่นอันน้อยนิด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปวดร้าวว่า : "พวกท่าน......ทำไมถึงทำกับข้าเยี่ยงนี้......ทำไมถึงต้องบังคับข้าเช่นนี้......"
"เพราะอะไร เจ้ารู้ดีและกระจ่างแก่ใจที่สุด ยังไงเสียหลิ่วเฉียนเฮ้อก็สมควรตายตั้งนานแล้ว วันนี้หากเจ้าจะไม่มาก็ไม่มีใครบังคับเจ้า แต่ในเมื่อตัดสินใจมาแล้ว ก็ดูเสียให้จบ"
เฉินเสียนพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก พลางเงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ มองดูผู้คนที่เริ่มทยอยแยกย้ายกัน
เมื่อการประหารสิ้นสุดลง พวกเธอเองก็ควรจะกลับไป
แต่ในขณะที่เธอกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจนั้น เฉินเสียนก็สบตาเข้ากับดวงตาที่ลุ่มลึกคู่หนึ่ง ใบหน้านั้นถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากที่คุ้นเคย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...