เขาเองก็ได้อยู่ที่ลานประหารนี้ด้วย อำพรางซ่อนตัวท่ามกลางฝูงชน เมื่อครู่นี้ ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กับเธอขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
เธอรู้สึกว่ามีคนจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่ได้สนใจ เพราะไม่รู้ว่าสายตาของซูเจ๋อก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เธอเกือบจะคลาดไปแล้ว
เฉินเสียนรู้ดี ว่าการเจอกันกลางถนนแบบนี้อันตรายแค่ไหน
เธอคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอ ต้องมีเหตุผล ต้องสุขุมใจเย็น
ทั้งๆ ที่ใจคิดถึงเขามาก คิดถึงทุกวัน และยังคงต้องยับยั้งชั่งใจ
เธอสามารถยับยั้งช่างใจตัวเองไม่ให้ไปหาเขา ไม่ไปเจอหน้าเขา แม้ว่าจะเข้าไปในประตูเรือนของเขา ก็จะอยู่แค่ด้านนอกไม่เข้าไปเจอหน้าเขา ได้ยินเสียงของเขาบ้างเป็นครั้งคราวก็เพียงพอแล้ว
เพราะเธอเลือกที่จะกลับมายังเมืองหลวงเอง ฉะนั้นเธอก็จะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานของความคิดถึงคะนึงหานี้ให้ได้
แต่มาวันนี้ ได้เห็นเพียงเงาแผ่นหลังของเขา มองเขาที่เดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางฝูงคน เฉินเสียนจึงเพิ่งรู้ตัวว่าแท้จริงแล้ว เธอไม่สามารถยับยั้งช่างใจตัวเองได้เลย
เวลานี้ จิตใจของเธอสับสนวุ่นวายไปหมด
เธอหลบหลีกจากคนที่คอยติดตามสอดแนม ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอีกครั้ง เธอไม่สามารถยับยั้งช่างใจตัวเองได้ และไม่สามารถสนใจอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ในใจของเธอมีเพียงความคิดที่บ้าคลั่งเพียงหนึ่งเดียว ก็คือการได้เจอหน้าเขาสักครั้ง
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คุยกัน แต่แค่ได้มองเขาจากที่ไกลๆ ก็ยังดี
เฉินเสียนเดินออกจากอีกตรอกหนึ่ง เธอพุ่งเข้าไปในท่ามกลางฝูงชนที่ไม่ทันจะได้แยกย้ายกลับ ตามหาไปทั่ว แต่กลับหาเงาแผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นไม่เจออีกเลย
เธอตามหาทุกๆ ปากทางใหม่อีกหนึ่งรอบ ตรงจุดที่เขาค่อยๆ เดินห่างออกไป
สิ่งที่เธอได้ยินได้เห็นทั้งหมด บนถนนมีแต่ผู้คนที่พูดถึงแต่การประหารชีวิตของนักโทษในวันนี้เท่านั้น
และในท้ายที่สุดเธอก็หาไม่เจอ เขาเป็นเหมือนดังภาพลวงตาฉากหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้นอย่างไร้ซึ่งเงาและจากไปอย่างไร้ร่องรอย
ถนนสายนี้ได้คึกคักจนถึงจุดสูงสุดแล้ว เหล่าราษฎรพากันแยกย้ายกลับไปยังที่ของตัวเอง ถนนแห่งการค้าขาย เริ่มพากันเรียกลูกค้าเข้าร้านเพื่อทำมาค้าขาย
ห้วงเวลาที่เฉินเสียนหันกลับไปนั้น ก็เจอกับร้านแผงลอยที่ขายหน้ากากเข้า
มีหน้ากากหลากสีสันแขวนเรียงรายอยู่บนผ้าสีขาวในร้านแผงลอยนั่น
เธอจึงนึกขึ้นได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นที่เธอและซูเจ๋อซื้อหน้ากากจากร้านแผงลอยข้างทาง
ตอนนั้นทั้งคู่ที่พากันสวมหน้ากาก แล้วเดินเคียงคู่กันท่องเที่ยวไปทั่วตลาด
พวกเขาไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนจากบ่อนพนันจำได้แล้วตามมาทำร้าย และยิ่งไม่ต้องเป็นกังวลเข้าไปใหญ่ว่าใครจะเห็นพวกเขานั้นอยู่ด้วยกัน
เธอยังจำได้ ก่อนหน้านั้น ที่เธอถูกคนจากบ่อนพนันตามทำร้ายไปทั่ว ซูเจ๋อก็ปรากฏตัวในชุดดำสนิทข้างทาง เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและนุ่มนวล : "อาเสียน"
เธอไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ ก็ดึงซูเจ๋อวิ่งหนีเข้าไปในตรอกด้วย
ปรากฏว่าทั้งคู่ได้พากันวิ่งเข้าไปในทางตัน ซูเจ๋อจึงช่วยจัดการคนกลุ่มนั้นจนน่วมเละไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน
ความทรงจำของเฉินเสียนค่อยๆ หวนคืนมา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากอดีตค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเธอโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ทุกๆ ฉากทุกตอนเธอจำมันได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงสัมผัสของการจับมือระหว่างเธอและซูเจ๋อ ผมที่นุ่มสลวยและชายเสื้อที่พลิ้วไหว ทุกคำพูดของเขา ทุกแววตาที่ใช้มองเธอขณะที่เขายืนคร่อมเธอชิดกับผนังกำแพง
ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เฉินเสียนจู่ๆ ก็รู้สึกว่าถึงแม้เมืองหลวงนี้จะเลวร้าย แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังหลงเหลือความทรงจำที่ดีระหว่างเธอและซูเจ๋อ
ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะหลงรักเขา จนไปถึงหลังจากที่เธอรักเขาไปแล้ว
เฉินเสียนหันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ย้อนกลับไปที่ปากทางเข้าตรอกเดิมอีกครั้ง ด้านหลังของเธอมีเจ้าของแผงลอยที่ขายหน้ากากกำลังพูดเชิญชวนว่า : "ลูกค้าซื้อหน้ากากสักชิ้นเถอะขอรับ"
เฉินเสียนจู่ๆ ก็หยุดชะงักไปทันที รู้สึกใจสั่นขึ้นมาทั้งใจ จากนั้นก็สาวเท้าเดินตรงเข้าไปในตรอกทันที
เธอไม่อยากจะยอมแพ้ทั้งแบบนี้ และไม่อยากกลับไปทั้งๆ แบบนี้ด้วยเช่นกัน
เธออยากจะลองอีกครั้ง
ฉะนั้นเฉินเสียนจึงย้อนความทรงจำอีกครั้ง เธอมุดผ่านช่องเล็กๆ เดินไปยังด้านหลังตรอกเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยจับมือซูเจ๋อพากันวิ่งเข้าไป
เลี้ยวเข้าตรอกทางด้านหลัง ราวกับภาพที่ค่อยๆ รวบรวมเป็นเล่มเดียวกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...