เด็กสาวผู้นั้นพูดถูก หลังจากเฉินเสียนฟื้นคืนสติเพียงแค่วันสองวัน อาการของเธอก็ทรุดลงก่อนจะสลบไสลไปอีก
จมูกและปากของเธอเริ่มมีเลือดออก และเธอก็อ่อนแอลงทุกวันๆ
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในราชสำนัก
มีพระราชสาสน์มาจากจักรพรรดิแห่งเป่ยเซี่ยฉบับหนึ่ง โดยมีม้าเร็วนำมามอบให้ถึงมือของจักรพรรดิ
หลังจากทอดพระเนตรเนื้อความต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จักรพรรดิก็ทรงกริ้วขึ้นมาทันที
ฉับพลันนั้นก็มีรายงานที่น่าตื่นตระหนกจากชายแดนส่งมาว่า... เป่ยเซี่ยยกทัพออกมาอย่างกะทันหัน และกำลังเคลื่อนพลเข้ามาประชิดชายแดนระหว่างทั้งสองอาณาจักร สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียดและเป่ยเซี่ยอาจจะบุกโจมตีต้าฉู่เมื่อไรก็ได้
ทว่าต้าฉู่เพิ่งผ่านพ้นความวุ่นวายหลังสงคราม และเห็นได้ชัดว่าอาณาเขตทางตอนเหนือมีกองกำลังทหารไม่มากพอ
ถ้าเป่ยเซี่ยเริ่มเปิดฉากสงครามจริงๆ ต้าฉู่จะต้องป้องกันไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้แค่เป่ยเซี่ยยกกองกำลังออกมาตั้งแนวรบ การป้องกันแนวหน้าที่เขตชายแดนของต้าฉู่ก็วุ่นวายเสียแล้ว
จักรพรรดิทรงพิโรธอย่างหนักและตรัสว่า “ข้าได้รับสาสน์จากเป่ยเซี่ยก่อนจะเห็นเจ้าเข้ามารายงาน ในเมื่อทำอะไรเชื่องช้าอืดอาดเช่นนี้ ข้าจะเก็บเจ้าไว้ทำไม! เข้ามา! ลากมันออกไปตัดหัว!”
คนส่งสาสน์ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกลากออกไปตัดหัวเพราะความพิโรธอย่างไม่มีสาเหตุขององค์จักรพรรดิ เขาตะโกนออกมาว่า “องค์จักรพรรดิโปรดไว้ชีวิต! โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!”
แต่น่าเสียดายที่เขามีโอกาสตะโกนได้เพียงเท่านั้น เพราะทันทีที่ออกมาด้านนอกราชสำนัก คมมีดก็บั่นลงมาจนเลือดสาดกระเซ็น สร้างความหวาดกลัวให้เหล่าขุนนาง
เฮ่อเซียงก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิโปรดทรงสงบพระทัย ตลอดหลายปีมานี้แม้ว่าเป่ยเซี่ยกับต้าฉู่จะมิได้ไปมาหาสู่กัน ทว่าก็มิได้ขัดแย้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดคราวนี้จึงมาตั้งทัพล้อมที่ชายแดนไว้”
เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกให้ทุกคนรู้จึงจะคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาได้
ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิจึงโยนพระราชสาสน์ในมือลงไปบนพื้นและตรัสว่า “ลองดูเอาเอง!"
เฮ่อเซียงหยิบขึ้นมาและกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “นี่มัน...”
เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงส่งต่อให้ขุนนางที่อยู่ข้างๆ ในไม่ช้าเหล่าขุนนางก็หมุนเวียนกันอ่าน และในราชสำนักก็ตกอยู่ในความไม่สงบ
เมื่อมองไปที่เฮ่อเซียง ขุนนางผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยอย่างโกรธแค้นว่า “มีอย่างที่ไหนกัน! เป่ยเซี่ยทำแบบนี้มันมากเกินไป! องค์หญิงจิ้งเสียนเป็นองค์หญิงแห่งต้าฉู่ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เป่ยเซี่ยมีสิทธิ์อะไรเข้ามาก้าวก่าย! องค์จักรพรรดิ ตอนนี้ยังพอมีเวลา จะเป็นการดีกว่าไหมพ่ะย่ะค่ะถ้าเราจะส่งกองกำลังออกไป ไม่เช่นนั้นเป่ยเซี่ยจะคิดว่าเรากลัวพวกมัน และต่อไปจะยิ่งเหิมเกริมหนักกว่านี้!”
เมื่อมีคนลุกขึ้นยืนและเอ่ยออกมาอย่างกล้าหาญ สีหน้าของจักรพรรดิก็ยิ่งแสดงให้เห็นความไม่พอใจมากขึ้น ทว่าพระองค์ต้องทำใจให้สงบลงก่อนและพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย
ในเวลานี้ต้าฉู่ยังก่อสงครามกับใครไม่ได้ การต่อสู้กับเย่เหลียงในคราวนั้นทำให้ต้าฉู่สูญเสียกองกำลังกับเสบียงอาหารไปจำนวนมาก หากต้องรบอีกครั้งก็มีแต่จะพาตนเองไปแพ้
จักรพรรดิรู้ว่าในราชสำนักมีกลุ่มขุนนางที่หัวรุนแรงซึ่งไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาและราคาที่ต้องจ่าย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ไปออกรบ เมื่อบอกว่าจะมีสงครามก็แค่ยกมือขึ้นสนับสนุนเท่านั้น
แน่นอนว่ายังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งมั่นในทางสันติและต้องการสร้างความปรองดอง
ด้วยเหตุนี้เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดจบ อีกฝ่ายหนึ่งจึงลุกขึ้นมาบ้าง
ขุนนางอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ขอองค์จักรพรรดิโปรดทรงทบทวนพ่ะย่ะค่ะ ต้าฉู่ของเราเพิ่งเจรจาสงบศึกกับเย่เหลียง กำลังทหารมีไม่เพียงพอ ท้องพระคลังก็ยากจะฟื้นตัว ทั้งยังไม่มีแม่ทัพที่พร้อมรบ การเปิดสงครามกับเป่ยเซี่ยในเวลานี้ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ผลก็คือทั้งสองฝ่ายต่างมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง องค์จักรพรรดิปวดพระเศียรจนพระเศียรแทบระเบิด สุดท้ายก็ต้องยกศาลและจบการว่าความด้วยเหตุฉะนี้
ในเวลานี้ องค์หญิงจิ้งเสียนกลายเป็นบุคคลสำคัญของเรื่องนี้
จนถึงตอนนี้จักรพรรดิยังคงไม่ได้ตัดสินชี้ขาด แต่ไม่รู้ว่าใครปล่อยให้ข่าวนี้รั่วไหลจนเกิดข่าวลือมากมายในสังคมภายนอก
พระราชมารดาขององค์หญิงจิ้งเสียนเดิมเป็นพระธิดาบุญธรรมในราชวงศ์เป่ยเซี่ย ในตอนที่พระธิดาบุญธรรมแห่งเป่ยเซี่ยสิ้นพระชนม์ เป่ยเซี่ยเองยังเอาตัวเองไม่รอด จึงไม่ได้มาติดตามเรื่องนี้
แต่ตอนนี้หลังจากที่รู้ว่าองค์หญิงจิ้งเสียนซึ่งเป็นธิดาของธิดาบุญธรรมกำลังจะสิ้นชีวิต จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงทรงพิโรธและรับสั่งให้จัดกองกำลังทหารเดินทางนับพันลี้เพื่อเตรียมการสู้รบทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...