เขานั่งหันหลังไปทางประตูห้องขัง แสงไฟริบหรี่วูบไหวสะท้อนอยู่บนแผ่นหลังของเขา ซึ่งกำลังนั่งนิ่งราวกับรูปปั้น
เฉินเสียนกำลังจะเดินเข้าไปหาเขาตามสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกไป ฉินหรูเหลียงก็คว้าข้อมือของเธอและรั้งเธอไว้ เพียงครู่เดียวก็ปล่อยมือและส่งสัญญาณบอกให้เธออย่าเพิ่งใจร้อน
เมื่อผู้คุมสองคนเห็นทั้งคู่เข้ามาก็บ่นทันทีว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ พวกเจ้าควรมาตั้งแต่ตอนใกล้จะพ้นยามจื่อ (ช่วงเวลาระหว่าง 23:00 น. - 01:00 น.) นี่ล่วงเข้ามายามโฉ่วแล้วเพิ่งจะมา! หรือคิดจะอู้งานเสียสักครึ่งค่อนชั่วยาม? เอ๊ะ พวกเจ้าไม่ใช่เสียวอู่กับหนิวชีนี่ เกิดอะไรขึ้น พวกเขาอยู่ไหน”
ฉินหรูเหลียงตอบไปว่า “พวกเราถูกเรียกให้มาเปลี่ยนเวรชั่วคราว เมื่อคืนสองคนนั้นน่าจะหนาวมากจนเป็นไข้”
ผู้คุมไม่ได้ติดใจสงสัยและเอ่ยว่า “งั้นเหรอ พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ห้องไต่สวนด้านหน้างั้นสิ ข้าถึงไม่เคยเห็นพวกเจ้ามาก่อน” เขาพูดพลางถูมือไปมาและเอ่ยอีกว่า “หลังเที่ยงคืนที่นี่จะหนาวมาก ถ้าพวกเจ้ายังไม่เคยผ่านเรื่องลำบากเช่นนี้ก็ระวังหน่อย ไม่ใช่ว่ามาแค่คืนเดียวก็ป่วยเสียละ”
ฉินหรูเหลียงพยักหน้า เขากับเฉินเสียนหลีกทางให้ผู้คุมทั้งสองซึ่งไม่อยากอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินที่เย็นเยือกอีกแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากส่งต่อเวรกันแล้ว พวกเขาจึงรีบออกไป
ห้องขังแห่งนี้ว่างเปล่าและเงียบสงัด
มีแค่เพียงเสียงคุของถ่านที่อยู่ในเตาถ่านซึ่งดังขึ้นมาบางครั้งบางคราว
เฉินเสียนจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเขาอีกครั้ง ภายในแววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะควบคุม
เธอเดินเข้าไปทีละก้าวและนั่งลงข้างๆ ประตูห้องขังของซูเจ๋อ ก้มลงมองมือของเขาที่วางอยู่ข้างกาย ปลายนิ้วที่สั่นเทาค่อยๆ เอื้อมผ่านช่องว่างระหว่างลูกกรงเข้าไปกุมมือของเขาไว้อย่างเงียบเชียบ
มือของเขาเย็นกว่าที่เธอคิด เย็นไปจนถึงกระดูก
เฉินเสียนหยุดนิ่ง ทันใดนั้นลมหายใจของเธอก็ขาดห้วง เธอซ่อนความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไป
เธอพูดอะไรไม่ออก คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่ลำคอ มีเพียงนิ้วที่ยังเกี่ยวพันอยู่กับนิ้วของเขา
ดูเหมือนซูเจ๋อจะไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ แต่นิ้วของเขาเข้ามาผสานกับนิ้วของเธออย่างเงียบเชียบและกระชับนิ้วของเธอไว้แน่น
คนหนึ่งหนาวเย็นถึงขั้วกระดูก คนหนึ่งเริ่มหนาวเล็กน้อย ดูเหมือนตราบใดที่ฝ่ามือสัมผัสกัน ความอบอุ่นก็จะส่งถึงกันได้
ซูเจ๋อไม่ได้ถามอะไร เขาไม่แม้แต่จะมอง ทว่ากลับจำเฉินเสียนได้ทันทีที่สัมผัสกับความอบอุ่นบนฝ่ามือของเธอ
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ผู้คุมที่ไหนกัน อยู่ๆ ก็มาจับมือข้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ”
เฉินเสียนตอบว่า “ไม่มีทางเลือก ข้าเป็นผู้คุมที่มีความชื่นชอบบางอย่างเป็นพิเศษ”
ได้ยินเสียงของกันและกันราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
เฉินเสียนคลายมือออกและลุกขึ้น แต่ซูเจ๋อยังคว้านิ้วของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
เฉินเสียนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าจะไปเอากุญแจมาเปิดประตู”
“อีกครู่หนึ่งองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกจะเข้ามาตรวจ ยังไม่ควรเคลื่อนย้ายกุญแจตอนนี้”
แม้ว่าส่วนมากซูเจ๋อจะไม่ค่อยได้พูดอะไรตอนอยู่ในคุกจนคนอื่นๆ คิดว่าเขาอาจจะหลับหรือสลบไป แต่เวลาเปลี่ยนเวรคือตอนไหน เวลาตรวจตราคือตอนไหน เขากลับรู้ทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกประตูใหญ่ก็เข้ามาจริงๆ พวกเขาพกดาบเข้ามาด้วยและเดินตรวจคุกอย่างเป็นระบบ พวกเขาตรวจห้องขังและทางเดินทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง และเพื่อความแน่ใจจึงกลับไปตรวจอีกรอบ
องครักษ์กลุ่มสุดท้ายหยุดตรวจอยู่ตรงจุดพักที่หน้าห้องขังของซูเจ๋อ
ในตอนนั้นเฉินเสียนกำลังนั่งยองๆ อยู่กับพื้นและเติมถ่านลงในเตาถ่าน พยายามเร่งไฟให้แรงขึ้น
องครักษ์พุ่งความสนใจไปที่ฉินหรูเหลียงและเฉินเสียน ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าสองคนดูไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย ไม่ใช่สองคนที่มาเปลี่ยนเวรเมื่อคืนก่อนนี่”
เฉินเสียนกดเสียงต่ำตอบไปว่า “ขอรับ พอตกค่ำแล้วอากาศหนาวจริงๆ นะขอรับ เมื่อคืนเสียวอู่กับหนิวชีปฏิบัติหน้าที่กลับไปแล้วเป็นไข้ เดิมทีข้ากับพี่ชายมิได้ประจำการที่นี่ แต่ถูกเรียกมาสมทบชั่วคราว” เธอพูดพลางกวักมือเรียกฉินหรูเหลียง “เร็วเข้า รีบหยิบเตาถ่านอันนั้นมาหน่อย ใส่ถ่านเพิ่มเสีย ไม่เช่นนั้นคืนนี้จะลำบาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...