ขณะที่เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงออกจากพระตำหนักไท่เหอนั้น ก็ได้ยินทหารเวรยามได้ทูลรายงานว่าเจอร่องรอยของนักฆ่าที่ประตูทิศตะวันออกของพระราชวัง
เฉินเสียนกำเศษผ้าในมือแน่น จู่ๆ ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ผู้คนที่ถูกองค์จักรพรรดิเรียกเข้าเฝ้า ต่างก็ใช้ประตูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งนั้น ส่วนประตูทางทิศตะวันออกนั้นเป็นทางที่เหล่าขุนนางจากทำเนียบขาวใช้เข้าออกเพื่อเข้าเฝ้าการทรงว่าราชกิจ
เมื่อใกล้จะถึงประตูวังแล้ว เฉินเสียนก็เหลือบเห็นคบเพลิงที่ส่องสว่างกำลังเคลื่อนไหวไปยังทางเดินของพระราชวัง เหล่าทหารรักษาพระองค์จำนวนมากต่างพากันมุ่งเข้าไปทางนั้นเพื่อเป็นกองกำลังสนับสนุน ไม่รู้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาในมโนคิดของเธอหรือเป็นความจริงที่เกิดขึ้นกันแน่ และเธอก็ยังได้ยินเสียงดาบที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้อีกด้วย
แต่ขาของเฉินเสียนที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ราวกับว่ามันมีความคิดเป็นของตัวเอง ขาข้างที่ยังอยู่ข้างหลังก็เตรียมจะพุ่งไปยังทิศทางที่เหล่าทหารรักษาพระองค์กำลังมุ่งหน้าไป
แต่แล้วจู่ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกรั้งไว้ ฉินหรูเหลียงเป็นคนดึงเธอไว้ เขาถามขึ้นว่า : "ท่านจะไปทำอะไร?"
จากนั้นเฉินเสียนก็ได้ยินตัวเองตอบกลับไปว่า : "ข้าจะไปดูเสียหน่อย พวกเขาจับนักฆ่าคนนั้นได้หรือเปล่า"
"เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน" ฉินหรูเหลียงเม้มปากเบาๆ แล้วพูดต่อว่า : "ตอนนี้ทั้งพระราชวังต่างก็กำลังเฝ้าระวัง ท่านอยากจะให้ฝ่าบาทจับท่านเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนักฆ่าคนนั้นหรือ? ตอนนี้เอาตัวท่านเองให้รอดก่อน ออกไปแล้วค่อยว่ากัน"
ไม่มีช่องว่างให้เฉินเสียนได้พูดสอดแทรกเลยแม้แต่คำเดียว เขาจูงแขนเฉินเสียนหมุนตัวแล้วเดินออกไปยังประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้ในทันที
ทั้งคู่ขึ้นรถม้า จากนั้นรถม้าก็ออกเดินทางออกจากประตูพระราชวังทันที
ประตูทิศตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากประตูทิศตะวันออกไม่ไกลมาก เฉินเสียนเปิดม่านรถม้าขึ้นมาดู ยังสามารถเห็นแสงสว่างของเปลวไฟทะลุผ่านช่องกำแพงวังในความมืดมิดนั่น
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หัวใจของเธอยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า : “ข้ารู้ว่าท่านกำลังเป็นห่วงใคร เขาคงไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้หรอก”
เฉินเสียนพูดขึ้นพึมพำว่า : "นักฆ่าคนนั้นไม่ได้ทำร้ายเจ้าน่องน้อย แต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าน่องน้อยมาก เจ้าน่องน้อยเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร ดูแล้วจะชอบใจเสียมากกว่า แปลว่านักฆ่าคนนี้ไม่มีจุดประสงค์ร้าย เขาเพียงแค่ต้องการจะพาเจ้าน่องน้อยออกจากพระราชวังไปก็เท่านั้น"
เฉินเสียนก้มหน้าลงต่ำ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็นึกไม่ออกเลย ว่านอกจากเขาแล้วเรายังมีคนช่วยเหลืออื่นใดที่กล้าบุกเข้ามาในพระราชวังเพื่อช่วยคนอีก”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาย่อมบอกกับท่านอยู่แล้ว”
เฉินเสียนพูดขึ้นเบาบางว่า : “ไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง เขายิ่งจะไม่ยอมบอกข้าเข้าไปใหญ่”
จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวไกลออกไปเรื่อยๆ ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างหลัง แต่จู่ๆ กลับมีกลุ่มคนตามหลังรถม้ามา
เป็นทหารเวรยามที่แยกกลุ่มวิ่งออกจากประตูวังตามหลังมาด้วย
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีทหารเวรยามนายหนึ่งวิ่งมาขวางทางรถม้ากลางถนน
เฉินเสียนเปิดม่านรถม้า แล้วถามขึ้นว่า : “เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าทหารเวรยามผู้นั้นจำเฉินเสียนไม่ได้ แต่น่าจะจำฉินหรูเหลียงได้ เพราะเป็นถึงผู้นำระดับสูงของพวกเขา
ทหารเวรยามจึงรีบประสานมือคารวะเพื่อทำความเคารพ ตอนนั้นเขาจึงรู้ได้ในทันทีว่าคนทั้งสองที่อยู่ในรถม้านั้นคงจะเป็นองค์หญิงและราชบุตรเขยที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลอง เขาจึงพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมเพียงแค่ต้องการตรวจทานรถม้าขององค์หญิง ขอองค์หญิงทรงประธานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเปิดม่านทั้งหมดขึ้นแล้วให้ทหารเวรยามนำคบเพลิงเข้าไปส่องจนทั่ว ข้างในนั้นนอกจากเฉินเสียนและฉินหรูเหลียงแล้วก็ไม่มีผู้อื่นใดอีก
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “จะตรวจทานรถม้า จำเป็นจะต้องวิ่งตามมาตรวจกลางถนนแบบนี้หรือ? เมื่อครู่นี้ตอนที่ยังอยู่ในวัง หากเดินมาบอกสักคำ ก็ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งตามมาไกลขนาดนี้แล้ว”
หัวหน้าทหารเวรยามจึงพูดขึ้นว่า : “คืนนี้ในพระราชวังมีนักฆ่าปรากฏตัวขึ้น กระหม่อมเพียงแค่กันไว้ก่อน มิอาจหลีกเลี่ยงการตรวจค้นได้” เมื่อเขาพูดจบ ก็ถอยหลังออกไปทันที เพื่อหลีกทางให้รถม้าเดินทางต่อ
เฉินเสียนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่ถามอะไรมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...