ตรอกที่อยู่ใกล้เคียงแถวนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวของเหล่าทหารในวัง คาดว่ายังไม่ได้มาค้นหาถึงที่นี่ หากว่าตอนนี้หิมะไม่ได้ตกหนักจนสามารถกลบเกลื่อนร่องรอยจนหมดสิ้นแล้วล่ะก็ เวลานี้จะกลับไปจัดการกับร่องรอยเหล่านั้นก็ยังทัน
ลานสวนที่คุ้นเคย ความเงียบงันที่กระจายแผ่ซ่านไปทุกที่
ในห้องจุดไฟสว่างไสว ที่ดูเหมือนจะนำมาซึ่งความอบอุ่น
พ่อบ้านหยุดฝีเท้าอยู่ที่ประตูหน้าลานสวน เฉินเสียนเดินเข้าไปใต้ชายคา ยืนอยู่หน้าประตูห้องของซูเจ๋อ เธอเอื้อมมือเพื่อเปิดประตูเข้าไป
ตั้งแต่ซูเจ๋อกลับมาก็ไม่ได้ออกจากห้องอีกเลย เขาได้สั่งการพ่อบ้านและทุกคนในเรือนให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตการณ์และเฝ้าระมัดระวังความเคลื่อนไหวข้างนอกนั่นเสมอ
ถึงแม้ว่าเขาจะสวมชุดดำทั้งชุด แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดรอยเลือดที่ชุ่มไปทั้งตัวและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง รวมถึงฝีเท้าที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จะให้พ่อบ้านไม่เป็นห่วงได้อย่างไรกัน
พ่อบ้านเฝ้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ยินว่ามีคนมาเคาะที่ประตู ในตอนแรกคิดว่าเป็นเหล่าทหาร แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเฉินเสียนที่มาเคาะประตูหลังเรือนด้วยตัวคนเดียว
เมื่อได้สติจากอาการตกใจแล้ว พ่อบ้านจึงรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีไปอีกแบบ
องค์หญิงมาแล้ว ใต้เท้าจะได้ไม่ต้องจัดการบาดแผลด้วยตัวคนเดียวในห้อง
ทุกครั้งที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เขามักจะจัดการด้วยตัวเองเสมอ ไม่เคยเรียกให้ผู้ใดเข้าไปในห้องเพื่อช่วยเขาเลยสักครั้ง
เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ค่อนข้างรุนแรงมาก ครั้นซูเจ๋อกลับมาถึง เขาเองก็ได้หมดสติไปรอบหนึ่งแล้ว เขานั่งอยู่บนพื้น พิงร่างกับขาโต๊ะ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หลับตาลงเบาๆ เพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง
เมื่อพอจะดีขึ้นนิดหน่อย จึงค่อยๆ ปลดเสื้อสีดำออก ตรวจบาดแผลบนร่างกายของตัวเอง แล้วจึงเตรียมรักษาอาการบาดเจ็บของเขา
ผมที่ค่อนข้างยุ่งเล็กน้อยจากจอนผมทิ้งตัวลงบนบ่า ทำให้ใบหน้าที่ซีดและผ่ายผอมดูชัดเจนยิ่งขึ้น นัยน์ตาคู่เรียวยาวดุจขุนเขา กำลังอ่อนล้าอย่างที่สุด เลือดแดงสดไหลรินออกจากปากแผล แต่เขากลับไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่นิด
ราวกับว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย
เขาใช้ชีวิตและร่างกายบุกเข้าวังหลวงฝ่าวงล้อมทหารเวรยามและทหารรักษาพระองค์ เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แค่ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อสำรวจบาดแผลเสร็จแล้ว กำลังเตรียมจะทายา แต่แล้วจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก
ซูเจ๋อตอนนี้ค่อนข้างฟุ้งซ่าน ความตื่นตัวและไหวพริบจึงไม่เพียงพอ บวกกับที่นอกประตูยังมีหิมะตกหนักอีกด้วย จึงกลบเสียงฝีเท้าของเฉินเสียนไปจนหมด
ทันใดนั้นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแววตาที่ดำสนิทและมืดมิด ห้วงเวลาที่มองเห็นเฉินเสียนนั้น ดุจหิมะที่กำลังหลอมละลาย ที่เหลือไว้เพียงแสงสว่างจากเปลวเทียน
ซูเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ฝืนยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าที่ขาวซีด : “เวลานี้ท่านควรอยู่ที่งานเลี้ยงฉลองในวังหลวงมิใช่หรือ? ทำไมถึงมาที่นี่ได้?”
เขาค่อยๆ ขยับชายเสื้อเบาๆ เพื่อปกปิดบาดแผลของเขา
แต่เฉินเสียนได้เห็นทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยของเขา ปกปิดบาดแผลที่น่ากลัวแค่ไหนไว้กัน
เธอก้าวเท้าเดินเข้ามา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ขบกรามแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านทำไขสือกับข้าหรือ ท่านไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าข้ามาที่นี่ทำไมกัน?”
รอยยิ้มซูเจ๋อจางลงไปมาก เขารู้ว่าพ่อบ้านคงจะอยู่ไม่ไกลมาก จึงพูดขึ้นว่า : “พ่อบ้าน เชิญองค์หญิงไปดื่มน้ำชาอุ่นๆ ที่ห้องโถงก่อน”
เมื่อพูดจบ เฉินเสียนก็ปิดประตูดังปัง พ่อบ้านที่อยู่ข้างนอกยังไม่ทันจะตอบกลับด้วยซ้ำไป
เฉินเสียนเดินตรงมาหาเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่อยากให้ข้ามาเห็นท่านในสภาพนี้ใช่หรือเปล่า?”
เธอค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้าซูเจ๋อ เปิดเสื้อสีดำสนิทที่แนบชิดร่างกายของเขาออก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า : “แต่ข้าเห็นมันทั้งหมดแล้ว”
ภายใต้เสื้อสีดำสนิทนั้น เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด จู่ๆ เฉินเสียนก็นึกถึงฉากที่เขาถูกก้อนหินถล่มลงมาทับ ตอนที่เขาใช้ร่างกายสร้างช่องว่างเป็นเกราะกำบังให้เธอ
จนตัวเขาเองท่วมท้นไปด้วยบาดแผลเหมือนเมื่อครั้งนั้น ร่องรอยของแผลเป็นยังคงเด่นชัดบนแผ่นหลังของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...