เมื่อออกมาจากโถงบุปผาจึงเห็นว่าเซียงซั่นกำลังนอนคว่ำอยู่บนม้านั่งอย่างอ่อนแรง บนแผ่นหลังของนางมีคราบเลือดให้เห็นประปราย นางเงยหน้าและจ้องมองเฉินเสียนอย่างจงเกลียดจงชัง
เฉินเสียนหยุดและชายตามองนางก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องกังวล เจ้ายังตายไม่ได้ อย่ามองข้าแบบนั้น แล้วอีกไม่นานเจ้าจะต้องขอบคุณข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงเฉินเสียน ร่างของใครบางคนก็ถลันเข้ามาจากด้านนอก
ปรากฏว่าหลังจากฟื้นคืนสติหลิ่วเหมยอู่ก็รู้ว่าเซียงซั่นถูกลงโทษอยู่ที่โถงบุปผา ดังนั้นนางจึงฝืนลุกขึ้นและให้แม่เฒ่าพยุงมาที่นี่
ทันทีที่เห็นสภาพของเซียงซั่น นางก็แทบจะเป็นลมไปอีกครั้ง
ฉินหรูเหลียงเห็นดังนั้นจึงปัดแม่เฒ่าออกไปและดึงหลิ่วเหมยอู่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด หลิ่วเหมยอู่เอนกายซบลงกับอกเขา นางร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ที่ต้องหยาดฝน ทั้งซีดเซียวและเปราะบาง
ฉินหรูเหลียงสั่งให้แม่เฒ่าพาเซียงซั่นออกไป ในขณะที่ตัวเขาก็อุ้มหลิ่วเหมยอู่ขึ้นมาและออกไปจากที่นี่ด้วย
เมื่อไปถึงสวนดอกพุดตานหลิ่วเหมยอู่ก็ร้องไห้อย่างทุกข์ระทม “ทำไมกัน... เห็นได้ชัดว่าเซียงซั่นไม่ได้ทำอะไรผิด... ทำไมจึงต้องถูกลงโทษเช่นนี้...”
“อย่าร้องเลย” ฉินหรูเหลียงเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน “เซียงซั่นเป็นแค่สาวใช้ พักฟื้นแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย”
หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “แม้ว่านางจะเป็นแค่สาวใช้ แต่เหมยอู่ก็รักนางดั่งพี่สาว ตอนนี้นางถูกลงโทษเพราะช่วยทวงความยุติธรรมให้เหมยอู่ เหมยอู่รู้สึกทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก... เหมยอู่รู้ว่านางเป็นองค์หญิง แต่องค์หญิงก็ไม่มีสิทธิ์มาข่มเหงเหมยอู่เช่นนี้ ถ้าครั้งนี้ไม่มีคนไปพบเข้า เกรงว่าเหมยอู่คงจะไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่ทัพอีก...”
ฉินหรูเหลียงโอบกอดหลิ่วเหมยอู่ไว้ เขาทั้งโกรธทั้งทุกข์ใจ
“ตั้งแต่เหมยอู่แต่งงานเข้ามาจนถึงตอนนี้ องค์หญิงยังไม่เคยทำดีกับเหมยอู่เลย...”
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้อยู่นาน ไม่ว่าฉินหรูเหลียงจะปลอบใจอย่างไรนางก็ยังไม่หยุดร้อง
ใจของฉินหรูเหลียงเองก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและพูดไปว่า “อย่าร้องไห้เลยเหมยอู่ วันนี้มีคนจากพระราชวังมาที่นี่ คนที่ต้องการปกป้องนางไม่ใช่ข้า แต่เป็นจักรพรรดิ”
หลิ่วเหมยอู่ชะงัก
ฉินหรูเหลียงยังกล่าวอีกว่า “ในภายภาคหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้เจ้าแน่นอน แต่ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้และอย่าแตะต้องเด็กในท้องของนางเป็นอันขาด มิฉะนั้นเจ้าเองก็พบกับความหายนะเช่นกัน เจ้าเข้าใจใช่ไหม”
น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของหลิ่วเหมยอู่วูบไหว
สีหน้าของฉินหรูเหลียงผ่อนคลายลง เขาค่อยๆ อธิบายว่า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเก็บเด็กคนนั้นไว้ แต่จักรพรรดิต้องการเห็นเด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัย พระองค์ทรงเตือนข้าครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเช้านี้”
หลิ่วเหมยอู่หน้าซีด นางรีบพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าค่ะๆ เหมยอู่จะเชื่อฟังท่านแม่ทัพทุกอย่าง เหมยอู่ไม่ต้องการให้ท่านแม่ทัพถูกองค์จักรพรรดิตัดสินโทษ และเหมยอู่ก็ไม่ต้องการออกไปจากจวนแม่ทัพด้วย...” ถ้าหากจักรพรรดิรู้ความลับของนาง นางก็คงจะถึงคราตายเข้าจริงๆ
ฉินหรูเหลียงกอดหลิ่วเหมยอู่อีกครั้งอย่างชื่นใจ เขาลูบผมของเธอและพูดว่า “เหมยอู่ เจ้าเชื่อข้าไหมว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีทางเข้าไปพัวพันกับเฉินเสียน ในอนาคต ข้างกายของข้าจะมีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินฉินหรูเหลียงพูดเช่นนี้ หลิ่วเหมยอู่จึงรู้สึกมีความสุขและหวามหวานในหัวใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ว่าเฉินเสียนจะพยายามแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางได้รับความรักจากฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงรักนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพียงแต่หลิ่วเหมยอู่คิดไม่ถึงว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ฉินหรูเหลียงจะเป็นฝ่ายฝ่าฝืนคำมั่นสัญญาด้วยตัวของเขาเอง
เมื่อกลับมาถึงสวนสระวสันตฤดูได้ครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็นำของจากในวังมาส่งให้ที่สวนสระวสันตฤดูหลังจากจดและตรวจดูรายการของเรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นของขวัญที่จักรพรรดิประทานมาให้ แม้ฉินหรูเหลียงจะลำเอียงไปทางหลิ่วเหมยอู่ แต่เขาก็ฮุบของเหล่านี้ไปจากเฉินเสียนไม่ได้
นอกจากอาหารบำรุงแล้ว ทางวังยังส่งผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับมาด้วย ทั้งหมดเป็นของที่ทำขึ้นเองอย่างประณีตงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เฉินเสียนให้อวี้เยี่ยนนำผ้าไปตัดชุดใหม่สำหรับพวกเธอทั้งสามคนที่อยู่ในเรือนนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...