เธอรู้สึกว่า โชคชะตานั่นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด มันสามารถทำให้คนสองคนไม่สามารถเข้ากันได้ สุดท้ายก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายมาเป็นความผูกพันกัน
เมื่อก่อน เฉินเสียนกับฉินหรูเหลียงนั่นต่างก็ไม่สามารถเข้ากันได้ มีเรื่องที่เข้าใจผิดกันมากมาย ทำร้ายกันอยู่หลายครั้ง แม้เฉินเสียนจะไม่ได้เกลียดเขาจนเข้ากระดูก แต่เขากลับเกลียดเหมือนที่เกลียดตัวเอง
เวลานั้นเธอคิดอยากจะเหยียบฉินหรูเหลียงให้อยู่ภายใต้เท้าของเธอ ทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต
แต่หลังจากนั้นกลับพบว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุข
เธอยังเคยเห็นในช่วงเวลาที่เขาถึงคราวตกต่ำด้วยตาของเธอ จากแม่ทัพใหญ่น่าเกรงขามเป็นที่เลืองลือไปทั่วของต้าฉู่กลายเป็นเชลยของอาณาจักรศัตรู ก็ยังไม่สามารถขจัดความจงรักภักดีของเขาได้
เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาทรราชไม่มีความเป็นธรรม ในที่สุดผลก็กลับผลักเข้าไปหาตัวเขาเอง
เฉินเสียนพูด“ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ช่วงเวลาที่ผ่านมา สามารถได้รับการสนับสนุนและการดูแลจากท่าน”
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ แปลก เห็นได้ชัดว่าข้าอยากจะรั้งให้ท่านได้อยู่ต่อ แต่จากคำพูดของท่านเหล่านั้น ไม่ได้ยิ่งผลักท่านให้ออกไปไกลอีกหรือ ในเมื่อท่านคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของท่าน หลังจากนี้ตลอดไปก็ยังคงเป็นอยู่ ท่านอยากกลับที่นี่เมื่อไร สวนสระวสันตฤดูแห่งนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ท่าน”
เฉินเสียนอยากจะพูดออกมา ฉินหรูเหลียงยกมือขึ้นลูบไปที่ผมของเธอ นิ้วสอดแทรกเข้าไปในเส้นผมแล้วเอ่ยว่า “อย่าปฏิเสธข้าเลย ข้าขอร้องเพียงอย่างเดียว”
ในใจของเฉินเสียนนั้นเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก ในที่สุดก็ตอบกลับว่า “ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากเก็บไว้ เจ้าก็เก็บไว้เถิด ไม่แน่ถ้าวันไหนข้ามีความสุขก็อาจจะกลับมานอนค้างที่นี่สักสองคืน”
“ก็ดี” ในที่สุดฉินหรูเหลียงก็ปล่อยเธอ อ้อมกอดที่ว่างเปล่า หลงเหลือไว้เพียงกลิ่นหอมจางๆตัวเธอ เขาปรับอารมณ์ แล้วพูดขึ้นว่า “จะเที่ยงแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยเดินทางเถิด ตอนบ่ายข้าจะไปส่งท่านเข้าพระราชวังเอง”
เฉินเสียนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
เธอตามฉินหรูเหลียงออกจากสวนสระวสันตฤดู เดินผ่านสวนดอกไม้ เดินเล่นในสวนดอกไม้ที่เงียบเหงาไม่มีสีสัน เพลิดเพลินกับหิมะในสวนแอพริคอตที่ใบไม้ได้ร่วงไปหมดแล้ว เดินไปตามทางริมทะเลสาบ จากนั้นก็ไปที่ห้องอาหาร
ภายในห้องอาหารนั้นมีเตาอยู่ จึงทำให้อบอุ่นกว่าด้านนอก
เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้ามา บ่าวใช้ก็เข้ามาวางอาหารกลางวันบนโต๊ะ อาหารเหล่านั้นเป็นอาหารที่แต่ก่อนเฉินเสียนชอบกินอยู่บ่อยๆในจวนแห่งนี้
ฉินหรูเหลียงพยายามทำตัวเหมือนเดิม คอยคีบอาหารใส่ในจานของเธอ ชวนเธอพูดคุยในเรื่องต่างๆ
จนกระทั่งอาหารที่เหลือยู่บนโต๊ะนั้นเย็นตัวลง มื้ออาหารกลางวันก็เพิ่งจะสิ้นสุดลง
ฉินหรูเหลียงให้พ่อบ้านไปเตรียมรถม้าไว้ พ่อบ้านรับคำสั่งไปเตรียมรถม้าด้วยความเศร้าโศก ภายในจวนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่หดหู่
หลังจากแม่นมซุยและอวี้เยี่ยนกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก็ย้ายหีบไปขึ้นรถม้า รถม้าสองคันที่อยู่ในจวนได้นำออกมาใช้ แม่นมซุยและอวี้เยี่ยนนั่งในรถม้าที่วางสัมภาระ ส่วนฉินหรูเหลียงและเฉินเสียนนั่งอยู่ในรถม้าอีกคัน
ถนนในวันที่มีหิมะนั้นลื่นมาก ดังนั้นการเดินทางจึงไปได้ช้า ภายในรถม้านั้นโยกเยกไปมา ทั้งสองต่างก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน
เมื่อถึงด้านหน้าประตูพระราชวัง เฉินเสียนกำลังจะลง ฉินหรูเหลียงจึงรีบไปดึงมือเธอเอาไว้ แล้วพูดว่า “เมื่อเข้าพระราชวังไปแล้ว ท่านต้องระมัดระวังทุกอย่าง ภายในพระราชวังมีเรื่องซับซ้อนมากมาย ต้องใช้ใจคนให้เป็นประโยชน์ อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายอย่างบุ่มบ่าม ”
เฉินเสียนนั้นก็รู้เป็นอย่างดี
ฉินหรูเหลียงไม่อยากจะปล่อยมือเธอ อีกมือข้างหนึ่งยื่นมาที่ด้านหน้าของเธอ เฉินเสียนเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือเขา ก็ถึงกับตกตะลึง
นั่นคือปิ่นระย้าที่ฉินหรูเหลียงซื้อให้กับเธอในร้านเครื่องประดับก่อนหน้านี้ เฉินเสียนนั้นไม่ได้มีเครื่องประดับเยอะมากมาย นอกจากปิ่นหยกขาวแล้ว ปกติก็จะติดปิ่นระย้าเอาไว้
เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ในมือของฉินหรูเหลียงตั้งแต่เมื่อไร เฉินเสียนกลับไม่มีภาพทรงจำอะไรเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...